สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (30 ส.ค.) เนื่องจากดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น หลังการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐออกมาสอดคล้องกับการคาดการณ์ แต่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นได้ในเดือนส.ค. เนื่องจากยังมีแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนก.ย.
ทั้งนี้ ราคาทองคำเพิ่มขึ้น 2% ในเดือนส.ค. หลังจากราคาพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,531.60 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในวันที่ 20 ส.ค.
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ปรับตัวขึ้น 0.35% แตะที่ระดับ 101.699
การแข็งค่าของดอลลาร์ส่งผลให้สัญญาทองคำซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาที่ไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ ส่วนการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐจะเพิ่มต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ค. ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของบรรดานักเศรษฐศาสตร์
อเล็กซ์ เอ็บคาเรียน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของอัลลีเจนซ์ โกลด์ (Allegiance Gold) กล่าวว่า ข้อมูล PCE ยืนยันว่า เงินเฟ้อไม่ใช่ความกังวลหลักของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อีกต่อไป ขณะที่พวกเขาหันไปให้ความสำคัญกับการว่างงานแทน ซึ่งจะสนับสนุนความเป็นไปได้ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนก.ย.
หลังจากการรายงานข้อมูลเงินเฟ้อในวันศุกร์ เครื่องมือ FedWatch tool ของ CME บ่งชี้ว่า บรรดาเทรดเดอร์คาดว่า มีโอกาส 69% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในเดือนก.ย. และมีโอกาสลดลงเหลือ 31% ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลงมากถึง 0.50%
นักลงทุนจะรอดูการเปิดเผยรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันศุกร์หน้า