เบื้องลึก โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2567 หางบโปะแจกเงิน 10,000 บาท

20 ก.ย. 2567 | 08:04 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ก.ย. 2567 | 04:23 น.

ผ่าเบื้องลึก โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และคนพิการ กระทรวงการคลัง หางบโปะแจกเงินกลุ่มเปราะบาง 10,000 บาท ติดตามที่มาที่ไปของงบก้อนใหญ่ ก่อนเสนอครม.ไฟเขียว

โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และคนพิการ เหล้าเก่าในขวดใหม่ หลังรัฐบาลเปลี่ยนเงื่อนไขโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet หรือ เงินดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อนำเงินมาแจกให้กับกลุ่มเปราะบางก่อนคนละหมื่น โดยให้เหตุผลว่าเป็นความจำเป็นเร่งด่วนของรัฐบาล สอดคล้องกับเงินที่มีจัดเตรียมไว้รออยู่ก่อนที่จะสิ้นสุดปีงบประมาณ 2567 ในวันที่ 30 กันยายน นี้

โดย กระทรวงการคลัง ได้ปรับชื่อโครงการใหม่เป็น โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 พ่วงด้วยการรื้อเงื่อนไขใหม่นำมาเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 17 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา พิจารณาเห็นชอบ พร้อมอนุมัติงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการ วงเงินไม่เกิน 145,552.40 ล้านบาท จาก 2 แหล่งเงินภายใต้งบประมาณ 2567 นั่นคือ 

  • งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวนไม่เกิน 122,000 ล้านบาท 
  • งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจ าเป็น วงเงินไม่เกิน 23,552.40 ล้านบาท

คลังแจ้งความจำเป็นด่วน

สำหรับที่มาที่ไปกว่าจะจัดสรรงบประมาณในปี 2567 ทั้งสองก้อน ลงมายังโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่ามีรายละเอียดเบื้องลึกที่น่าสนใจ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงการสรุปข้อมูลโครงการเสนอเข้ามายังครม. โดยไล่เรียงเรื่องราวได้ดังนี้

กระทรวงการคลัง ได้แจ้งถึงความจำเป็นในการจัดทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ว่า จากรายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ( GDP) รายไตรมาส ณ เดือนสิงหาคม 2567 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่า ในช่วงครึ่งแรกของ ปี 2567 เศรษฐกิจขยายตัวได้ 1.9% ต่อปี และคาดว่าทั้งปี 2567 จะขยายตัวที่ 2.5% ต่อปี 

โดยมีช่วงการคาดการณ์ที่ 2.3-2.8% ต่อปี ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าอัตราการขยายตัวเฉลี่ยในอดีต ต่ำกว่าอัตราการขยายตัวตามศักยภาพ (Potential Growth) และต่ำกว่าอัตราการขยายตัวของประเทศในภูมิภาค

อีกทั้งในปี 2567 เศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับความท้าทายทั้งในและนอกประเทศ เช่น การหดตัวของผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและผลผลิตภาคการเกษตรในช่วงครึ่งแรกของปี การหดตัวของการบริโภคสินค้าคงทนในช่วง 7 เดือนของปี ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ผู้ผลิตอุตสาหกรรม และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ลดลงอย่างต่อเนื่อง 

ขณะที่หนี้ภาคครัวเรือนและเอสเอ็มอีที่ยังอยู่ในระดับสูง และการฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ของเศรษฐกิจโลก และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในหลายภูมิภาค ซึ่งปัจจัยทั้งหมดส่งผลทำให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบางที่มีกำลังซื้อที่อ่อนแอ ได้รับผลกระทบเป็นกลุ่มแรก ๆ

แนะแจกเงินกลุ่มเปราะบางเหมาะสุด

จากบริบทและความท้าทายทางเศรษฐกิจในมิติต่าง ๆ จึงจำเป็นที่จะต้องเร่งการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิจารณาจัดสรรเงินเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และคนพิการก่อนเป็นกลุ่มแรก เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของผู้มีรายได้น้อยและคนพิการซึ่งมีกำลังซื้ออ่อนแอให้ได้ทั่วถึง 

ขณะเดียวกันการใช้จ่ายของกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวยังจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อและเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียน ในระบบเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีรายได้ต่ำกว่าประชาชนกลุ่มอื่น ทำให้มีความโน้มเอียงหน่วยสุดท้ายในการบริโภค (MPC) สูงกว่าประชาชนกลุ่มอื่น ซึ่งเอื้อให้เกิดการบริโภค การผลิต และการลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นลูกโซ่ และส่งผลให้อัตราการขยายตัว ของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นได้อย่างชัดเจนและเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวมอย่างรวดเร็ว

กระทรวงการคลังมีความจำเป็นต้องขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.25657 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนิน โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ เพื่อเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง ปลายปี 2567 ให้เป็นรูปธรรม

ชงบอร์ดประชารัฐฯ ไฟเขียว

ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง ได้นำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 เสนอให้คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2567 รับทราบหลักการของโครงการซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพ และเพิ่มศักยภาพของผู้มีสิทธิตามโครงการลงทะเบียนฯ ปี 2567 ซึ่งรวมถึงผู้พิการที่ผ่านคุณสมบัติ ตามโครงการลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 ให้มีโอกาสเข้าถึงการใช้จ่ายที่จำเป็นในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 

อีกทั้งการใช้จ่ายของกลุ่มผู้มีสิทธิฯ กว่า 13.5 ล้านคน ยังมีส่วนช่วยเพิ่มการบริโภคที่จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียน ในระบบและกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศในช่วงปลายปี 2567 อีกด้วย โดยเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับการจัดประชารัฐสวัสดิการตามมาตรา 3 และมาตรา 8 (9) แห่งพระราชบัญญัติการจัดประชารัฐ สวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม พ.ศ.2562 ซึ่งเป็นการจัดประชารัฐสวัสดิการที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย

เปลี่ยนสาระสำคัญโครงการใหม่

อย่างไรก็ดี หากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านคนพิการ ที่กระทรวงการคลัง เสนอต่อคณะรัฐมนตรี มีการเปลี่ยนแปลงในหลักการหรือสาระสำคัญขอให้นำมารายงานให้คณะกรรมการฯ ทราบต่อไป

เมื่อครม.มีมติเห็นชอบการดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เห็นชอบให้กองทุนฯ ดำเนินการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่าย เพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวนไม่เกิน 122,000 ล้านบาท ตามแนวทางที่สำนักงบประมาณ กำหนด 

สำหรับใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือผ่านการโอนเงินระบบพร้อมเพย์โดยใช้เลขบัตรประจำตัว ประชาชนของผู้มีสิทธิฯ หรือบัญชีเงินฝากธนาคารตามที่กลุ่มเป้าหมาย แจ้งความประสงค์ใน “หนังสือ ให้ความยินยอมโอนเงินสวัสดิการเข้าบัญชีร่วมกับบุคคลอื่นสำหรับผู้ได้รับสิทธิ์โครงการลงทะเบียน เพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (เฉพาะกรณีผู้พิการ/ผู้ป่วยติดเตียง และ/หรือผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ที่ไม่สามารถเปิดบัญชีหรือผูกพร้อมเพย์ได้)” 

หรือ “หนังสือให้ความยินยอมโอนเงินสวัสดิการเข้าบัญชีบุคคลอื่น สำหรับผู้ได้รับสิทธิ์โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (เฉพาะกรณีผู้พิการ/ผู้ป่วยติดเตียง และ/หรือ ผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปที่ไม่สามารถเปิดบัญชีหรือผูกพร้อมเพย์ได้)"

ทั้งนี้ เนื่องจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่กระทรวงการคลังนำเสนอเป็นเรื่องเร่งด่วน เห็นชอบให้กองทุนฯ ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ประจำปี พ.ศ.2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงินไม่เกินจำนวนผู้มีสิทธิฯ ที่ยืนยันตัวตน (e-KYC) สำเร็จ ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567 (ไม่รวมถึงกลุ่มผู้พิการ)

เพื่อให้ได้รับความช่วยเหลือตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรฯ ซึ่งตัดความซ้ำซ้อนกับผู้มีบัตรประจำตัวคนพิการตามที่กรมบัญชีกลางได้ตรวจสอบแล้วด้วย

คลังขอจัดสรรงบกลาง 2.3 หมื่นล้าน

อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลัง ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ลงวันที่ 5 กันยายน 2567 ถึงผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เพื่อขอให้สำนักงบประมาณกราบเรียนนายกรัฐมนตรี เพื่อโปรดพิจารณาอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 งบกลาง รายการ เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นภายในวงเงินจำนวน 23,552.40 ล้านบาท ประกอบด้วย 

  • วงเงินจำนวนไม่เกิน 2,059.54 ล้านบาท โดยจัดสรรให้แก่ สป.กค. สำหรับกองทุนฯ เพื่อใช้ดำเนิน โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 
  • วงเงินจำนวนไม่เกิน 21,492.86 ล้านบาท โดยจัดสรรให้แก่ สป.กค. เพื่อใช้ดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านคนพิการ

อย่างไรก็ตามเมื่อรายละเอียดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 มีความชัดเจน กระทรวงการคลัง จึงได้จัดทำข้อมูลทั้งหมดเข้ามาเสนอครม.พิจารณาเห็นชอบ