"พิชัย" แนะแบงก์ชาติ ถอดหมวกคุยกัน หาจุดร่วมนโยบายการเงิน-การคลัง

วันนี้ (25 กันยายน 2567) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงเรื่องของอัตราเงินเฟ้อของไทยในปัจจุบันว่า อัตราเงินเฟ้อของเราไทยไม่ได้เป็นไปตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ไว้ว่าเงินเฟ้อมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้น และยังหลุดกรอบเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1 – 3% เพราะในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.15% เท่านั้น

"เมื่อเงินเฟ้อหลุดกรอบล่างแบบนี้ ถือว่าเกี่ยวข้องกับการกำหนดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งรัฐบาลบอกว่า ควรจะอยู่ที่ประมาณ 2% เนื่องจากเงินเฟ้อนั้นจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัว เพราะเงินเฟ้อที่ต่ำเกินไปไม่จูงใจผู้ผลิตให้ขยายการผลิตมากขึ้น และถึงเวลาที่ ธปท. กับกระทรวงการคลังต้องมานั่งคุยและตกลงกันว่าอัตราที่เหมาะสมคือเท่าไหร่" นายพิชัย กล่าว

นายพิชัย กล่าวว่า การกำหนดกรอบเงินเฟ้อ จะเกี่ยวข้องกับเรื่องการกำหนดดอกเบี้ยนโยบาย หากกำหนดเงินเฟ้อไว้เป็นกรอบระดับหนึ่งแต่เงินเฟ้อยังต่ำกว่าเป้าก็แสดงว่าเศรษฐกิจไม่ขึ้น จึงต้องมาดูว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสมควรว่าควรอยู่ที่เท่าไหร่ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในทางเศรษฐกิจมากขึ้น เพราะเศรษฐกิจไทยตกต่ำมาอย่างยาวนานเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน

ทั้งนี้ยอมรับว่า การบริหารประเทศรัฐบาลใช้มาตรการทางการคลัง หรือเงินที่เก็บได้มากระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ทั้งหมดต้องสัมพันธ์กับนโยบายทางการเงิน และตัวที่สำคัญที่สุด คือ ดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งนโยบายรัฐบาลเดินไปทิศทางที่ให้เศรษฐกิจเติบโต แต่ถ้าดันให้ดอกเบี้ยสูงก็จะสวนทางกัน จึงควรพิจารณาให้ดอกเบี้ยต่ำหรือไม่

แต่ถ้ากลัวว่า ดอกเบี้ยต่ำแล้วคนจะใช้จ่ายเงินเยอะ ค่าเงินเฟ้อสูง ซึ่งในปัจจุบันเห็นชัดแล้วว่า ค่าเงินเฟ้อเราอยู่ในระดับที่ต่ำ ในเกือบ 8 ปี หลุดต่ำกว่ากรอบมา 6 ครั้งแล้ว
 

"ต้องมองว่าหากกลัวเรื่องดอกเบี้ยต่ำแล้วเงินเฟ้อจะสูง คนใช้จ่ายมากขึ้น ก็ต้องดูตัวเลขว่าขณะนี้เงินเฟ้อยังต่ำมาก และตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา เงินเฟ้อก็หลุดกรอบไป 6 ครั้ง ใน 8 ปี ถือว่าเป็นข้อมูลที่ต้องมาดูเพราะเงินเฟ้อเราต่ำกว่ากรอบมาโดยตลอด" รองนายกฯ และรมว.คลัง ระบุ

รองนายกฯ และรมว.คลัง กล่าวว่า รัฐบาล และกระทรวงการคลัง อยากเชิญชวน ธปท.มาทำงานร่วมกันระหว่างนโยบายการเงินและการคลัง เพื่อให้การดำเนินนโยบายการเงินสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ ซึ่งหากลองถอดหมวกแล้วมานั่งทำงานร่วมกันจะสามารถหาจุดร่วมที่นโยบายการเงินและการคลังไปด้วยกันได้ เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวได้ดีขึ้น