วันที่ 20 ธันวาคม 2567 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยเข้าร่วม การประชุมหารืออย่างไม่เป็นทางการแบบขยาย (Extended Informal Consultation: EIC) ในระดับรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศสมาชิกอาเซียน การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นภายใต้บรรยากาศที่เปิดกว้างและสร้างสรรค์ มีเป้าหมายหลักเพื่อหารือความคืบหน้าและการดำเนินการตาม "ฉันทามติ 5 ข้อ" ของอาเซียนในประเด็นวิกฤตเมียนมา
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ และนายพลพงศ์ วังแพน อธิบดีกรมอาเซียน ได้บรรยายสรุปผลการประชุมครั้งนี้ โดยระบุว่าการประชุมมีรัฐมนตรีต่างประเทศจาก 5 ประเทศ ได้แก่ สปป.ลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย เข้าร่วม ขณะที่อีก 4 ประเทศสมาชิกส่งผู้แทนระดับสูงมาร่วมประชุม รวมทั้งหมด 9 ประเทศ ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นของอาเซียนในการสร้างความร่วมมือและหาทางออกให้กับวิกฤตในเมียนมา
นายพลพงศ์กล่าวว่า การหารือในครั้งนี้เน้นย้ำความสำคัญของ ฉันทามติ 5 ข้อ ซึ่งยังคงเป็นแนวทางหลักของอาเซียนในการจัดการปัญหาเมียนมา โดยรัฐมนตรีต่างประเทศเห็นพ้องว่าจำเป็นต้องเร่งดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมาย ทั้งในด้านการหยุดยั้งความรุนแรง การจัดลำดับความสำคัญในความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และการส่งเสริมการเจรจาที่ครอบคลุมทุกฝ่าย
ในการประชุมครั้งนี้ ไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้านเมียนมา ได้รับการชื่นชมจากที่ประชุมถึงบทบาทในการเป็นตัวกลางและผู้ประสานงาน โดยเฉพาะการผลักดันการหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างเมียนมากับประเทศเพื่อนบ้านเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ที่มีผู้เข้าร่วมระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 6 ประเทศเพื่อนบ้านเมียนมา ทั้งไทย สปป.ลาว จีน อินเดีย และบังคลาเทศ ซึ่งช่วยเสริมความเข้าใจร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านประธานอาเซียนจาก สปป.ลาว ไปยังมาเลเซียในปี 2568
ประเด็นสำคัญที่ถูกหารือในการประชุม เช่น การจัดการกับอาชญากรรมข้ามชาติและปัญหาชายแดนที่เกิดจากความไม่มั่นคงในเมียนมา รวมถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งในเมียนมา แม้จะยังไม่มีความชัดเจนว่าการเลือกตั้งดังกล่าวจะครอบคลุมทุกพื้นที่หรือไม่
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ให้การสนับสนุนบทบาทของมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนคนถัดไป และเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการส่งเสริมความร่วมมือที่ครอบคลุมทุกภาคส่วนในเมียนมา เพื่อเปิดทางไปสู่ความก้าวหน้าทางการเมืองและการฟื้นฟูความสงบในภูมิภาค
ขณะเดียวกัน การหารือยังเปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิกอาเซียนเสนอแนวคิดใหม่ๆ เพื่อเร่งรัดการดำเนินการตามฉันทามติ 5 ข้อ แม้ว่าจะยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนในที่ประชุม แต่การหารือครั้งนี้ถือเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่จะจัดขึ้นในเดือนมกราคม 2568
ในตอนท้าย กระทรวงการต่างประเทศไทยได้กล่าวย้ำถึงบทบาทของไทยในการเป็นสะพานเชื่อมความร่วมมือระหว่างประเทศอาเซียน โดยเฉพาะการเสริมสร้างความเข้าใจในประเด็นสำคัญและการสนับสนุนการเจรจาในอนาคต ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างเสถียรภาพในภูมิภาค
ด้วยความมุ่งมั่นของไทยและการสนับสนุนจากประเทศสมาชิกอาเซียน การประชุมครั้งนี้แสดงถึงความพยายามร่วมกันของอาเซียนในการเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ซับซ้อนในเมียนมา โดยหวังให้เกิดการพัฒนาทางการเมืองที่ยั่งยืนและความสงบสุขในภูมิภาคในระยะยาว