นายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” อยู่ระหว่างการเดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 44 และ 45 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ระหว่างวันที่ 8 – 11 ตุลาคม 2567 โดยในห้วงการประชุม รัฐบาลยังมีกำหนดการหารือ “ทวิภาคี” กับผู้นำที่สำคัญหลายประเทศ
โดยเฉพาะในวันที่ 9 ตุลาคม 2567 นายกฯ และคณะได้หารือกับผู้นำชาติต่าง ๆ รวม 4 ประเทศ โดยสรุปได้ดังนี้
นายกรัฐมนตรี หารือทวิภาคี กับ นายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ โดยผู้นำทั้งสองได้เห็นพ้องความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ช่วงครึ่งปีหลังนี้ โดยประเทศสิงคโปร์เป็นอันดับหนึ่งที่ลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในไทย ซึ่งรัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจดิจิทัล AI รวมถึง Digital transportation และต้องการให้สิงคโปร์ช่วยสนับสนุน
นอกจากนี้ ไทยกับสิงคโปร์ยังมีความร่วมมือด้านความมั่นคงทางอาหาร โดยไทยอยากให้สิงคโปร์สนับสนุนสำหรับการส่งออกผลผลิตทางการเกษตรและอาหารของไทย เช่น ไข่ออร์แกนิค เนื้อหมู ส่วนในด้านการท่องเที่ยว จำเป็นต้องสนับสนุนและเพิ่มการท่องเที่ยวระหว่างกันให้มากขึ้น
ส่วนความร่วมมือทางการทหาร ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะขยายความตกลงในการฝึกซ้อมของเหล่าทัพร่วมกัน พร้อมทั้งสานต่อความร่วมมือด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ และปัญหาภัยธรรมชาติ
นายกรัฐมนตรี เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสลาม (H.M. Sultan Haji Hassanal Bolkiah, Sultan and Yang Di-Pertuan of Brunei Darussalam) โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ Thailand’s Government Pension Fund (GPF) and Brunei Investment Agency (BIA) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนร่วมกันของทั้งสองประเทศโดยเร็ว
รวมถึงการผลักดันความร่วมมือ the elimination of Double Taxation and the Prevention of Tax Evasion and Avoidance (DTA) เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี พร้อมผลักดันการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ที่เกี่ยวกับความร่วมมือทางด้านฮาลาล เช่น ความมั่นคงทางอาหารและการลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลในอนาคต
อีกทั้งสองฝ่ายจะอำนวยความสะดวกทางการค้าสินค้าเกษตรและด้านเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรที่ยั่งยืนและการจัดการน้ำด้วย
นายกรัฐมนตรี หารือทวิภาคีกับ สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแนต นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ทั้งสองฝ่ายได้หารือประเด็นความร่วมมือที่สำคัญ โดยด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำประเด็นสำคัญ คือ
ส่วนการพัฒนาพื้นที่ชายแดนนั้น ไทยพร้อมจัดการการแก้ไขปัญหาข้ามพรมแดนในประเด็นสำคัญที่มีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ได้แก่ การหลอกลวงทางออนไลน์ ไทยยินดีกับคณะทำงานเฉพาะกิจร่วมระหว่างหน่วยงานตำรวจไทยและกัมพูชา ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขณะที่การค้ามนุษย์ที่เชื่อมโยงกับการหลอกลวงทางออนไลน์ ทั้งสองฝ่ายจะช่วยเหลือเหยื่อ และทำลายเครือข่ายอาชญากรรมทั้งหมด เช่นเดียวกับการลักลอบค้ายาเสพติด ไทยและกัมพูชาจะแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองเพิ่มขึ้น และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนหารือเพิ่มความร่วมมือต่อต้านยาเสพติดตามแนวชายแดน
นายกรัฐมนตรี หารือทวิภาคีกับ นายฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยผู้นำทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องจะเร่งอำนวยความสะดวกและลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายมูลค่าการค้า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 850,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ไทยขอให้เวียดนามสนับสนุนการลงทุนของไทยในเวียดนาม โดยเฉพาะด้านปิโตรเคมี พลังงานและธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งไทยและเวียดนามจะส่งเสริมความร่วมมือตามยุทธศาสตร์ Three Connects เพื่อเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน เศรษฐกิจท้องถิ่น และยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนการเพิ่มเที่ยวบินระหว่างกันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเปิดเที่ยวบินตรงระหว่างจังหวัดของไทยกับเมืองต่าง ๆ ในเวียดนาม โดยการท่องเที่ยวประเทศไทย เป็นจุดหมายปลายทางอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวชาวเวียดนาม ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปเที่ยวเวียดนามเป็นอันดับ 6 ทั้งนี้ เวียดนามสนับสนุนแนวคิด 6 สถานที่ท่องเที่ยวร่วมกันหรือ Six Countries, One Destination ของไทยเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค