โอน USDT 8 พันล้าน“ดิไอคอน”จริงหรือไม่?“คริปโต”เป็นเครื่องมือฟอกเงิน

21 ต.ค. 2567 | 09:00 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ต.ค. 2567 | 09:12 น.

การสั่งอายัดทรัพย์สิน บริษัทดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด มูลค่ารวม 127,086,381.51 บาท ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ที่มีเหตุเชื่อมีการยักย้ายทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทำความผิด และมีกระแสข่าวว่ามีการโอนคริปโตเคอร์เรนซี USDT มูลค่ากว่า 8 พันล้านบาท

คนทั่วไปมองว่า”คริปโต” เป็นแหล่งที่อาชญากร  หรือ กลุ่มธุรกิจมืด และธุรกิจสีเทา ใช้เป็นเครื่องมือการฟอกเงิน  อย่างไรก็ตามการฟอกเงินในคริปโตเคอร์เรนซีคิดเป็นเพียง 1% ของการฟอกเงินทั่วโลก  โดยมีมูลค่าประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ  66 พันล้านบาท

โอน USDT 8 พันล้าน“ดิไอคอน”จริงหรือไม่?“คริปโต”เป็นเครื่องมือฟอกเงิน

ซึ่งเมื่อเทียบกับวิธีการอื่นๆ ถือว่าเป็นสัดส่วนที่ต่ำมาก 

 

ทั้งนี้ แม้จะมีสัดส่วนที่น้อย แต่สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่า ความเสี่ยงจะไม่เพิ่มขึ้นในอนาคต เนื่องจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดคริปโตฯ อาจนำไปสู่การนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในการกระทำผิดกฎหมายมากขึ้น

หากมองย้อนกลับไป วิธีการฟอกเงินแบบดั้งเดิม เช่น การลงทุนในธุรกิจทั่วไป อสังหาริมทรัพย์ หรือสินค้าฟุ่มเฟือย มักเป็นช่องทางหลักที่มาเฟียหรือกลุ่มอาชญากรรมใช้ในการฟอกเงิน ตัวอย่างเช่น การนำเงินที่ได้จากการทำธุรกรรมผิดกฎหมายมาเปิดร้านอาหารหรือธุรกิจอื่นๆ ในทางกลับกัน การฟอกเงินในตลาดคริปโตฯ จะมีความโปร่งใสกว่าในบางกรณี เนื่องจากธุรกรรมทั้งหมดในบล็อกเชนสามารถติดตามได้ และแพลตฟอร์มคริปโตฯ หลายแห่งมีการใช้ระบบ Know Your Customer (KYC) ซึ่งทำให้การฟอกเงินในตลาดคริปโตถูกตรวจพบได้ง่ายกว่าบางช่องทาง

ความท้าทายในการตรวจสอบ

ในตลาดคริปโตฯ มีการใช้งานกระเป๋าเงินดิจิทัลสองประเภท ได้แก่ กระเป๋าเงินที่อยู่ในระบบของ แพลตฟอร์มการเทรดคริปโต ซึ่งมีการตรวจสอบตัวตน KYC และกระเป๋าเงินที่เก็บโดยเจ้าของเองผ่าน Hardware Wallet หรือซอฟต์แวร์ที่ไม่ผ่าน KYC สิ่งนี้นำมาซึ่งความท้าทายในการตรวจสอบ เนื่องจาก Hardware Wallet ไม่มีการระบุชื่อผู้ถือครอง ทำให้จำเป็นต้องใช้วิธีการสืบสวนเชิงลึกมากขึ้น เช่น การเข้าถึงอุปกรณ์หรือการสืบสวนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการโอนเงิน

บทบาทของเจ้าหน้าที่และหน่วยงานกำกับดูแล

กรณีที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น การโยกย้ายเงินในกลุ่ม "ดิไอคอน" ที่ถูกกล่าวหาว่ามีการโอนเงินจำนวนมากไปยังตลาดคริปโตฯ ยังคงอยู่ในกระบวนการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งต้องพิสูจน์ว่าเงินดังกล่าวถูกต้องหรือไม่ หากเงินที่โอนไปมีเจตนาที่ไม่ถูกต้อง เจ้าหน้าที่จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย เช่น การยึดทรัพย์หรือตรวจสอบเส้นทางการเงินเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด

จากข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญในวงการคริปโตฯ ระบุว่า การติดตามธุรกรรมในตลาดคริปโตฯ ทำได้ไม่ยากอย่างที่หลายคนคิด เนื่องจากระบบบล็อกเชนเป็นระบบที่โปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ การมีมาตรการการทำ KYC ในแพลตฟอร์มหลายแห่งช่วยเพิ่มความสามารถในการตรวจสอบและป้องกันการฟอกเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากเจ้าหน้าที่หรือผู้ตรวจสอบมีความเข้าใจและเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยีนี้

แม้ว่าการฟอกเงินในคริปโตเคอร์เรนซีจะมีสัดส่วนที่น้อยอยู่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความเสี่ยงในอนาคต การมีมาตรการควบคุมที่เข้มงวด การทำ KYC และการสืบสวนเชิงลึกจะช่วยให้ตลาดคริปโตฯ เติบโตได้อย่างยั่งยืนและปราศจากกิจกรรมผิดกฎหมาย อีกทั้งยังส่งเสริมให้ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลมีความโปร่งใสและสร้างความเชื่อมั่นในหมู่นักลงทุนและผู้ใช้งาน