ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่าบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่ลงนามเมื่อปี 2544 อาจทำให้ไทยต้องเสียเกาะกูดให้กัมพูชา ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว เคยเขียนบทความในจุลสารความมั่นคงศึกษา ของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ฉบับที่ 92 เมื่อเดือนพฤภาคม 2554 เรื่อง พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ปัญหาและการพัฒนาไว้อย่างน่าสนใจ
ดร.สุรเกียรติ์ ระบุว่า ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชาในอ่าวไทย ครอบคลุมพื้นที่กว่า 26,000 ตารางกิโลเมตร เริ่มมีการเจรจาครั้งแรกเมื่อปี 2513 ที่กรุงพนมเปญ แต่ไม่มีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม
จนกระทั่งปี 2533 ในสมัยรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ประสบความสำเร็จในการผลักดันการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย-มาเลเซีย จึงพยายามใช้โมเดลนี้กับกัมพูชา แต่ก็ไม่สำเร็จเนื่องจากกัมพูชายังมีปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศ
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2544 เมื่อ ดร.สุรเกียรติ์ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ผลักดันให้มีการเจรจาอย่างจริงจัง จนนำไปสู่การลงนามในบันทึกความเข้าใจเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ ดร.สุรเกียรติ์ เน้นย้ำคือเรื่องเกาะกูด ซึ่งก่อนหน้านี้กัมพูชาเคยอ้างสิทธิเหนือเกาะกูดกึ่งหนึ่ง แต่ในการเจรจาครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้ยืนยันว่าจะยกเลิกข้อเรียกร้องดังกล่าว และยอมรับว่าเกาะกูดเป็นของไทย โดยแผนผังที่แนบท้ายบันทึกความเข้าใจได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเกาะกูดอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย
"การที่กัมพูชายอมรับอธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูดอย่างเป็นทางการเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกนี้ ถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญ" ดร.สุรเกียรติ์ระบุ พร้อมเสริมว่าในการเจรจา ฝ่ายไทยยังพยายามผลักดันให้เส้นเขตแดนทางทะเลเป็นเส้นตรงไม่ผ่านเกาะกูด เพื่อให้อธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูดมีความชัดเจนยิ่งขึ้น
บันทึกความเข้าใจฉบับนี้สร้างกลไกการเจรจาที่สำคัญสองประการที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป
1. การเจรจาเพื่อพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียมร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อน
2. การเจรจาเพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลที่ชัดเจน
บันทึกความเข้าใจนี้ กำหนดให้การเจรจาทั้งสองเรื่องต้องดำเนินไปพร้อมกันและแยกจากกันไม่ได้ ซึ่ง ดร.สุรเกียรติ์อธิบายว่าเป็นการป้องกันไม่ให้มีการเร่งรัดข้อตกลงเรื่องผลประโยชน์จากทรัพยากรโดยละเลยประเด็นเขตแดน โดยบันทึกความเข้าใจนี้มีกลไกคุ้มครองผลประโยชน์ของไทยหลายประการ ดังนี้
ข้อเขียนของดร.สุรเกียรติ์เมื่อปี 2554 ระบุว่าสถานการณ์ในปัจจุบันมีความท้าทายมากขึ้น เนื่องจากมีการค้นพบแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ในพื้นที่ทับซ้อน ทำให้บริษัทน้ำมันข้ามชาติหลายแห่งสนใจเข้ามาลงทุนผ่านทางกัมพูชา ซึ่งอาจส่งผลให้การเจรจาในอนาคตยากขึ้น
"การที่บริษัทข้ามชาติให้ความสนใจพื้นที่นี้ผ่านทางกัมพูชามากขึ้น อาจทำให้การเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ในอนาคตซับซ้อนขึ้น ประเทศไทยจึงควรเร่งผลักดันการเจรจาภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจนี้ให้มีความคืบหน้า" ดร.สุรเกียรติ์กล่าว
แม้ว่าทั้งไทยและกัมพูชาต่างต้องการพัฒนาทรัพยากรในพื้นที่ทับซ้อน แต่ด้วยศักยภาพและความพร้อมของไทยทั้งในด้านเทคโนโลยี ประสบการณ์ และการมีบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเป็นของตนเอง ประกอบกับการที่ไทยเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ทำให้ความร่วมมือระหว่างสองประเทศจะเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย
"บันทึกความเข้าใจนี้เป็นการแปรเปลี่ยนความขัดแย้งให้เป็นความร่วมมือ สร้างกรอบการเจรจาที่ชัดเจนบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ และมีการคุ้มครองผลประโยชน์ของไทยอย่างรัดกุม" ดร.สุรเกียรติ์กล่าวสรุป พร้อมเน้นย้ำว่าการเร่งรัดการเจรจาภายใต้กรอบนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่ความต้องการพลังงานเพิ่มสูงขึ้น และมีผู้เล่นใหม่ๆ ที่สนใจเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น
อ่านข้อมูลฉบับเต็ม : พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ปัญหาและการพัฒนา