เปิดเบื้องลึก MOU ไทย-กัมพูชา เรื่องเกาะกูด จากปากอดีต รมว.ต่างประเทศ

04 พ.ย. 2567 | 23:50 น.
อัปเดตล่าสุด :05 พ.ย. 2567 | 05:48 น.

เปิดเผยเบื้องลึกการเจรจา MOU ไทย-กัมพูชาปี 2544 จากปาก “สุรเกียรติ์ เสถียรไทย” อดีต รมว.ต่างประเทศ ยืนยันสถานะเกาะกูด และผลประโยชน์แหล่งพลังงานในทะเลอ่าวไทย

ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่าบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่ลงนามเมื่อปี 2544 อาจทำให้ไทยต้องเสียเกาะกูดให้กัมพูชา ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว เคยเขียนบทความในจุลสารความมั่นคงศึกษา ของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ฉบับที่ 92 เมื่อเดือนพฤภาคม 2554 เรื่อง พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ปัญหาและการพัฒนาไว้อย่างน่าสนใจ

 

เปิดเบื้องลึก MOU ไทย-กัมพูชา เรื่องเกาะกูด จากปากอดีต รมว.ต่างประเทศ

 

“สุรเกียรติ์” ย้อนรอยปัญหาพื้นที่ทับซ้อน

ดร.สุรเกียรติ์ ระบุว่า ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชาในอ่าวไทย ครอบคลุมพื้นที่กว่า 26,000 ตารางกิโลเมตร เริ่มมีการเจรจาครั้งแรกเมื่อปี 2513 ที่กรุงพนมเปญ แต่ไม่มีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม

จนกระทั่งปี 2533 ในสมัยรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ประสบความสำเร็จในการผลักดันการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย-มาเลเซีย จึงพยายามใช้โมเดลนี้กับกัมพูชา แต่ก็ไม่สำเร็จเนื่องจากกัมพูชายังมีปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศ

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2544 เมื่อ ดร.สุรเกียรติ์ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ผลักดันให้มีการเจรจาอย่างจริงจัง จนนำไปสู่การลงนามในบันทึกความเข้าใจเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544

ประเด็นเกาะกูด : จากข้อพิพาทสู่การยอมรับ

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ ดร.สุรเกียรติ์ เน้นย้ำคือเรื่องเกาะกูด ซึ่งก่อนหน้านี้กัมพูชาเคยอ้างสิทธิเหนือเกาะกูดกึ่งหนึ่ง แต่ในการเจรจาครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้ยืนยันว่าจะยกเลิกข้อเรียกร้องดังกล่าว และยอมรับว่าเกาะกูดเป็นของไทย โดยแผนผังที่แนบท้ายบันทึกความเข้าใจได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเกาะกูดอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย

"การที่กัมพูชายอมรับอธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูดอย่างเป็นทางการเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกนี้ ถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญ" ดร.สุรเกียรติ์ระบุ พร้อมเสริมว่าในการเจรจา ฝ่ายไทยยังพยายามผลักดันให้เส้นเขตแดนทางทะเลเป็นเส้นตรงไม่ผ่านเกาะกูด เพื่อให้อธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูดมีความชัดเจนยิ่งขึ้น

สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจ

บันทึกความเข้าใจฉบับนี้สร้างกลไกการเจรจาที่สำคัญสองประการที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป 

1. การเจรจาเพื่อพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียมร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อน

2. การเจรจาเพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลที่ชัดเจน

บันทึกความเข้าใจนี้ กำหนดให้การเจรจาทั้งสองเรื่องต้องดำเนินไปพร้อมกันและแยกจากกันไม่ได้ ซึ่ง ดร.สุรเกียรติ์อธิบายว่าเป็นการป้องกันไม่ให้มีการเร่งรัดข้อตกลงเรื่องผลประโยชน์จากทรัพยากรโดยละเลยประเด็นเขตแดน โดยบันทึกความเข้าใจนี้มีกลไกคุ้มครองผลประโยชน์ของไทยหลายประการ ดังนี้

  • การเจรจาต้องเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
  • ไม่กระทบต่อสิทธิเรียกร้องของทั้งสองฝ่ายจนกว่าจะมีข้อตกลงสุดท้าย
  • ข้อตกลงสุดท้ายต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
  • มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคเพื่อศึกษาและเจรจารายละเอียด

 

เปิดเบื้องลึก MOU ไทย-กัมพูชา เรื่องเกาะกูด จากปากอดีต รมว.ต่างประเทศ

 

ความท้าทายในปัจจุบันและอนาคต

ข้อเขียนของดร.สุรเกียรติ์เมื่อปี 2554 ระบุว่าสถานการณ์ในปัจจุบันมีความท้าทายมากขึ้น เนื่องจากมีการค้นพบแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ในพื้นที่ทับซ้อน ทำให้บริษัทน้ำมันข้ามชาติหลายแห่งสนใจเข้ามาลงทุนผ่านทางกัมพูชา ซึ่งอาจส่งผลให้การเจรจาในอนาคตยากขึ้น

"การที่บริษัทข้ามชาติให้ความสนใจพื้นที่นี้ผ่านทางกัมพูชามากขึ้น อาจทำให้การเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ในอนาคตซับซ้อนขึ้น ประเทศไทยจึงควรเร่งผลักดันการเจรจาภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจนี้ให้มีความคืบหน้า" ดร.สุรเกียรติ์กล่าว

แม้ว่าทั้งไทยและกัมพูชาต่างต้องการพัฒนาทรัพยากรในพื้นที่ทับซ้อน แต่ด้วยศักยภาพและความพร้อมของไทยทั้งในด้านเทคโนโลยี ประสบการณ์ และการมีบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเป็นของตนเอง ประกอบกับการที่ไทยเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ทำให้ความร่วมมือระหว่างสองประเทศจะเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย

"บันทึกความเข้าใจนี้เป็นการแปรเปลี่ยนความขัดแย้งให้เป็นความร่วมมือ สร้างกรอบการเจรจาที่ชัดเจนบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ และมีการคุ้มครองผลประโยชน์ของไทยอย่างรัดกุม" ดร.สุรเกียรติ์กล่าวสรุป พร้อมเน้นย้ำว่าการเร่งรัดการเจรจาภายใต้กรอบนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่ความต้องการพลังงานเพิ่มสูงขึ้น และมีผู้เล่นใหม่ๆ ที่สนใจเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น

อ่านข้อมูลฉบับเต็มพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ปัญหาและการพัฒนา