นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงกรณีที่บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเป็นเวลา 6 ปี ว่า ทรูวิชั่นส์ ได้ทำอย่างเต็มที่แล้วในการเข้าร่วมประมูล แต่ต้องยอมรับว่าราคาที่ผู้ได้รับลิขสิทธิ์เสนอไว้นั้นสูงมาก
อย่างไรก็ตาม การไม่ได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในครั้งนี้อาจมีผลกระทบบ้าง แต่ไม่มาก โดยตอนนี้ลูกค้ายังรับชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้ถึงเดือนพฤษภาคม 68
“ต้องเข้าใจก่อนว่าการทำตลาดคอนเท้นต์ต้องแข่งขันกันแบบ 360 องศา ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเป็นเพียงแต่ส่วนหนึ่งเท่านั้น กลุ่มลูกค้าคอกีฬา หรือ สปอร์ต เลิฟเวอร์ ยังมีความต้องการคอนเท้นต์กีฬาอื่นๆ ด้วย เช่น ฟุตบอลถ้วย ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฟุตบอลลาลีกา ฟอร์มูล่าวัน โมโตจีพี รวมถึงไทยลีก กอล์ฟ เทนนิส และกีฬาอีสปอร์ต นอกจากนี้ยังมีคอนเท้นต์ความบันเทิง ทั้ง WeTV และ iQIYI"
ทั้งนี้หากไม่มีลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกจริง เราก็ยังมีคอนเท้นต์ความบันเทิง เสริมเข้าไปให้กับลูกค้า ซึ่งล่าสุดเพิ่งเปิดบริการ NOW MAX ที่รวบรวมกีฬาชั้นนำ และบันเทิง จาก WeTV และ iQIYI ไว้ด้วยกัน
“การไม่ได้ลิขสิทธิ์ ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ไม่ทำให้เราเสียทรงการเป็น King of Sports โดยเรายังมีคอนเทนต์กีฬาชั้นนำของโลก อย่างตอบสนองความต้องการของแฟนกีฬาทุกกลุ่ม” นายมนัสส์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามต่อไปว่า มีโอกาสที่ทรู จะเข้าไปเป็นร่วมพันธมิตร กับ JAS ในการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลึกหรือไม่ นายมนัสส์ ระบุว่าหากพิจารณาจากราคาที่ JAS ประกาศไว้ ก็น่าสนใจ มีความเป็นไปได้ ซึ่งเราไม่ได้ปิดโอกาส เป็นเรื่องของอนาคต แต่หากไม่ได้เป็นพันธมิตรกับ JAS ก็เชื่อว่าไม่มีผลกระทบต่อผลประกอบการโดยรวม โดยปัจจุบันทรู วิชั่นส์ มีฐานสมาชิกประมาณ 1.3 ล้านราย
นายมนัสส์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทรูวิชั่นส์เตรียมปรับ กลยุทธ์คอนเทนต์และเพิ่มรายการใหม่ในปีหน้า เพื่อสร้างความเข้มข้นและตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของตลาดดิจิทัล พร้อมทั้งย้ำว่าทุกการเปลี่ยนแปลงถือเป็นโอกาสในการปรับตัวและพัฒนา
“ทุกวิกฤตคือโอกาส เราเชื่อมั่นว่าความหลากหลายของคอนเท้นต์และเทคโนโลยีที่เรามี จะช่วยให้ทรูวิชั่นส์รักษาความเป็นผู้นำในตลาดได้อย่างยั่งยืน”