นายเอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ หรือ ศูนย์ AOC 1441 เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของศูนย์ AOC 1441 ที่ครบ1 ปี เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ว่า ศูนย์ AOC 1441 เริ่มขึ้นมาเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ครบ 1 ปี ของการดำเนินงาน โดยเหตุผลที่มีศูนย์แห่งนี้ เพราะว่าภัยออนไลน์ที่เข้ามาในตอนนี้ เป็นภัยคุกคามรูปแบบใหม่ โดยจะต้องใช้หลายภาคส่วนในการดำเนินการแก้ไขปัญหา
ไม่ว่าจะเป็นภาคธนาคาร โทรคมนาคม ตำรวจและความมั่นคงอื่นๆรวมทั้งเรื่องตามแนวชายแดน ที่เริ่มมีการกวดขันภัยคุกคามรูปแบบนี้
ซึ่งภัยรูปแบบใหม่รัฐบาลจึงมอบหมายให้กระทรวงดีอี เป็นแม่งานในการดูแล จึงมีการจัดตั้งศูนย์ AOC 1441 เพื่อที่จะเป็นวัน One Stop Service ให้กับประชาชนโทร เข้ามาเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น ซึ่งศูนย์ AOC 1441 จะดำเนินรับเรื่องเมื่อเกิดความเสียหายแล้ว โดยจะสามารถประสานหรือโทรสายตรงไปยังธนาคารต่างๆ ทันที และทำการอายัดบัญชี หรือห้ามทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลา 7 วัน ซึ่งเป็นไปตามพระราชกำหนด ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์
จากนั้นศูนย์ยังให้ประชาชนเลือกสถานีตำรวจที่ใกล้เคียงพื้นที่เกิดเหตุ โดยจะรวบรวมข้อมูลเบื้องต้น ส่งทางระบบออนไลน์ เพื่อนำไปสู่การสืบสวนของตำรวจต่อไป โดยประชาชนจะต้องไปแจ้งความอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ครบกระบวนการเพื่อดำเนินคดีตามประมวลกฎหมาย ป.วิอาญา
“เมื่อประชาชนที่ถูกหลอกเมื่อโทรมายังศูนย์ AOC 1441 บัญชีของผู้เสียหายโอนไปที่ใดก็จะทำการอายัดทุกที่เพื่อยับยั้งบัญชีทันทีไม่ว่าจะเป็นแถวหนึ่ง แถวสอง หรือ แถวสาม จากนั้นศูนย์ AOC 1441 เมื่อมีดาต้าข้อมูลของประชาชนโดนหลอกไม่ว่าจะด้วยวิธีการแบบใด ได้มีการเก็บรวบรวมไว้และมอบให้ผู้เกี่ยวข้องไปดำเนินการ รวมถึงเมื่อธนาคารใดมีการเปิดบัญชีมาจำนวนมากก็จะส่งข้อมูลไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ให้ดำเนินการกวดขัน ส่วน ตำรวจ ก็จะส่งข้อมูลสถานที่ต่างๆ ขณะที่ กสทช.จะตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ เพื่อดำเนินการส่งข้อมูลให้ตำรวจต่อไป”
นายเอกพงษ์ ยังย้ำว่า ขณะนี้ ศูนย์ AOC 1441 ยกระดับ การประสานงานความร่วมมือกับ ธปท. ในการตรวจสอบบัญชีม้าที่เข้มขึ้น จากเดิมชื่อ -นามสกุลเดียวกันมีถึง 100 บัญชี ทยอยระงับ แต่ตอนนี้เมื่อมีชื่อ -สกุลเดียวก็จะระงับทุกบัญชีทันที ซึ่งจะเป็นการกำจัดบัญชีม้าออกจากระบบได้อย่างมหาศาล นอกจากนี้ทาง กสทช. ยังมีมาตรการ ให้คนที่มีซิมมากกว่า 6 เลขหมายหรือเกินกว่าจำนวนที่กำหนดมาชี้แจงถึงเหตุผลในการใช้งาน
“มาตรการดังกล่าว ถือเป็นการช่วยกันอาจจะไม่ได้เป็นการโค่นต้นไม้แต่เป็นการลิดกิ่งก้านสาขาไม่ให้การเติบโต แม้แก๊งอาชญากรรมออนไลน์ มิจฉาชีพจะไม่หมด เพราะเกิดขึ้นมาตั้งนานแต่ตอนนี้ ก็มีหนทางเริ่มที่จะจับกุม เพื่อให้ประชาชน มีความเสียหายที่น้อยลง ซึ่งหนึ่งปีที่ผ่านมาจากการรวบรวมสถิติปรากฏว่าคดีและความเสียหายลดลงประมาณ 44% ถือว่ามาก แต่ยังไม่พอใจ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ AOC 1441 อยากจะบอกประชาชนว่าเมื่อถูกหลอกแล้วหรือมีแหล่งข้อมูลแล้ว ก็สามารถโทรมาที่ ศูนย์ AOC 1441 ได้”
นายเอกพงษ์ ยังขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในศูนย์ AOC 1441 มี 100 คู่สาย ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง อัตราการรับสายเกือบ 100% ซึ่งเมื่อรับเรื่องแล้วจะดำเนินการตามขั้น ที่สำคัญส่งข้อมูลรายละเอียด รวบรวมเป็นข้อมูล ให้แต่ละหน่วยงานนำไปป้องกันการหลอกหลวงในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการหลอกขายทัวร์ ก็ส่งให้สมาคมท่องเที่ยวฯ การลอกลงทุนทองคำ ส่งเรื่องให้สมาคมทองคำ นำไปข้อมูล เป็นเป็นต้น แต่ที่สำคัญตอนนี้มีการส่งให้กับเศรษฐกิจจังหวัดซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงดีอี ไปเรียนผู้ว่าราชการจังหวัดว่าในจังหวัดนั้นประชชานถูกหลอกเรื่องอะไร เพื่อนำไปสร้างภูมิคุ้มให้ประชาชน ซึ่งได้ดำเนินการครอบคลุมทั่วประเทศแล้ว
“ส่วนแผนงานเพิ่มศักยภาพของศูนย์ AOC 1441 เร่งที่จะแก้ไขพระราชกำหนดเฟสที่ 2 เพื่อที่จะดูเรื่องการอายัดบัญชีให้เร็วและรีบเอาเงินมาคืนประชาชนให้ได้ โดยมอบหมายให้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)ไปดำเนินการหารือ ร่วมมือระหว่าง ธปท. รวมถึง ธนาคารและบริษัทมือถือจะต้องร่วมรับผิดชอบ หรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่ธนาคารและค่ายมือถือรับทราบแล้วและจะดำเนินการอย่างไรเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายและดูแลประชาชน พร้อมกันนี้ยังยกระดับความร่วมมือด้านนี้กับอาเซียน และประเทศที่พัฒนาแล้ว”นายเอกพงษ์กล่าวย้ำ