นายกัมพล สุภาแพ่ง ประธานคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา เปิดเผยหลังปรับปรุงรายงานฐานะทางการคลังปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 พบว่าการขาดดุลเงินสดต่อจีดีพีและหนี้สาธารณะยังสูงมากต่อเนื่อง และมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก
โดยเฉพาะการขาดทุนทางการคลังร้อยละ 4.31 ของจีดีพี ซึ่งอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับช่วงวิกฤตโควิด-19 ระหว่างปี 2563-2565 จึงถือว่ามีความเสี่ยงสูง ต่อการถูกปรับลดอันดับเครดิตเรตติ้ง
นายกัมพลชี้ว่า แม้รัฐบาลใช้เงินคงคลังกว่า 116,000 ล้านบาทเพื่อลดการกู้ยืม แต่หนี้สาธารณะยังเพิ่มเป็น 64.44% ของจีดีพี ในขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับต่ำเพียง 2-3% ต่อปี นับเป็นปัญหาต่อเนื่องจากวิกฤตโควิด-19
นอกจากนี้ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาประเทศยังหยุดชะงัก และรายได้จากภาษีบางส่วน เช่น ภาษีสรรพสามิตน้ำมันและมาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า ไม่เป็นไปตามเป้า
นายกัมพล กล่าวว่า วินัยการคลังของไทยยังไม่เข้มแข็ง ตัวอย่างเช่น การเร่งนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจบางแห่งก่อนกำหนด รวมถึงปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณและประสิทธิภาพในการใช้งบโครงการต่าง ๆ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการถูกลดอันดับเครดิตเรตติ้ง
นายกัมพลเสนอให้รัฐบาลจัดทำแผนระยะกลางและยาวใน 5 ด้าน ดังนี้:
นายกัมพลย้ำว่าหากรัฐบาลไม่เร่งแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เศรษฐกิจไทยอาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากการถูกลดอันดับเครดิตเรตติ้ง ซึ่งจะกระทบต่อศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว