“โมชิ โมชิ”เป็นชื่อแบรนด์ที่คุ้นหูคุ้นตากันดีในฐานะร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์เบอร์ต้นๆของไทย แม้ชื่อแบรนด์จะมีความเป็นญี่ปุ่นแต่เบื้องหลัง “โมชิ โมชิ” ถูกพัฒนาขึ้นโดยคนไทย100% จากจุดเริ่มต้นร้านกิ๊ฟช็อปเล็กๆใช้เวลาไม่ถึง 6 ปีสามารถขยายสาขาได้ถึง 100 สาขาใน 41 จังหวัดกินมาเก็ตแชร์อันดับ 1 สูงถึง 37.6%ต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน
และวันนี้โมชิโมชิกำลังจะก้าวเข้าสู่การเติบโตใน Chapter ใหม่ ในการยื่นไฟลิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ภายใต้การนำของ นายสง่า บุญสงเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ MOSHI ซึ่ง "สง่า" ฉายภาพความสำเร็จของ MOSHI ว่าเส้นทางของ MOSHI เริ่มต้นจากธุรกิจเล็กๆเมื่อปี 2516 จากร้านค้าปลีกย่านฝั่งธนจำหน่ายกิ๊ฟช็อป เครื่องเขียนและเบ็ดเตล็ดทั่วไป
จากนั้นครอบครัวเห็นโอกาสทางธุรกิจจึงพัฒนาขึ้นมาเป็นร้านค้าส่งกิ๊ฟช็อป ก่อนจะขยายเป็นโรงงานผลิตสินค้ากิ๊ฟช็อป เสื้อผ้าและค้าส่งในสำเพ็ง นอกจากขายสินค้าในประเทศแล้วยังส่งออกสินค้าไปต่างประเทศทั้ง อเมริกา ยุโรปแต่สินค้า และเอเชียซึ่งกิ๊ฟช็อปขายดีมากทั้งในญี่ปุ่น เกาหลีและไต้หวัน
กระทั่งปี 2557 สินค้าไลฟ์สไตล์เป็นที่นิยมอย่างมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงเริ่มเข้ามาศึกษาธุรกิจนี้อย่างจริงจังและเห็นโอกาสและช่องทางที่ร้านสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ จึงเปิดร้าน “โมชิ โมชิ” สาขาแรกที่สำเพ็งในปี 2559 ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี จนสามารถขยายสาขาอย่างรวดเร็วถึง 91 สาขาในปี 2563 และครบ 100 สาขาในปี 2565 พร้อมกับแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนภายใต้ บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ MOSHI
“เราอยากให้สินค้าของเราเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของลูกค้า โดยชูจุดเด่นเรื่องของคุณภาพราคาและดีไซน์ที่ทันสมัย โดยวางกลุ่มเป้าหมายอายุ 18-25 ปี”
นอกจากนี้ผู้บริหารยังเปิดเผยเบื้องหลังความสำเร็จของ MOSHI ว่ามาจากจุดเด่นในการลงทุน 6 ข้อคือ 1 โมชิเป็นผู้นำค้าปลีกไลฟ์สไตล์อันดับ 1 ปัจจุบันมี market share อันดับ 1 ตั้งแต่ ปี 2562 และในปี 2564 มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งสูงถึง 37.6% และยังมีสาขาครอบคลุมจำนวนจังหวัดมากที่สุดในประเทศไทย กว่า 100 สาขา ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 ใน 41 จังหวัด
“สินค้าส่วนใหญ่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อจำหน่ายในร้านโดยเฉพาะมากกว่า 18,000 รายการ แบ่งเป็น 12 กลุ่มเช่นเครื่องใช้ในบ้าน เครื่องเขียน ตุ๊กตา ของใช้แฟชั่น อุปกรณ์เสริมความงาม เครื่องนุ่งห่ม เครื่องสำอาง อุปกรณ์ไอที ของเล่น อาหารและเครื่องดื่มและอื่นๆที่เป็นสินค้าที่เป็นที่นิยมหรือเป็นที่ต้องการในท้องตลาดในแต่ละช่วง
นอกจากนี้ยังมีสินค้า Collection พิเศษทั้งที่ทีมงานออกแบบเองและไลเซ่นส์เช่นมิกกี้เม้าส์ ,ดิสนีย์ ซูมซูม ,วีแบร์แบร์ ,วินนี่เดอะพูห์ ,สนูปปี้และฮัลโหลคิตตี้ และคาแรคเตอร์ใหม่ๆที่เพิ่มเข้ามาระหว่างปีซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ทำให้คนกลับมาใช้จ่ายในร้าน และเรายังวางแผนที่จะวางจำหน่ายสินค้าใหม่มากกว่า 8000 sku และสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ๆทุกเดือน นอกจากร้านโมชิโมชิแล้วบริษัทยังมีร้านค้าปลีกและค้าส่งภายใต้ชื่อทางการค้าว่าไจแอนท์ จำหน่ายสินค้าทั่วไปที่ใช้ในชีวิตประจำวันในราคาเบาๆ ”
2 เห็นโอกาสการเติบโตในอุตสาหกรรมร้านค้าปลีกไลฟ์สไตล์อย่างโดดเด่น “ธุรกิจสินค้า lifestyle ในบ้านเรามีมูลค่าตลาดรวม 3,000-5,000 ล้านบาทต่อปี ตั้งแต่ปี2559ถึงปี 2564 มูลค่าภาพรวมค้าปลีกในบ้านเราเติบโตเฉลี่ย 1.4% ขณะที่สินค้าไลฟ์สไตล์เติบโตเฉลี่ย 11.4% แล้วคาดว่าจะเติบโตถึง 20.4% ต่อปี ขณะที่ธุรกิจค้าปลีกภาพรวมจะเติบโต 7.5% ในอีก 5 ปีข้างหน้า ดังนั้น โอกาสของสินค้าไลฟ์สไตล์ยังสามารถเติบโตได้อีกเยอะเพราะสินค้าไลฟ์สไตล์กินสัดส่วนเพียง 0.2% เท่านั้นของตลาดรวมเท่านั้น
นอกจากนี้พฤติกรรมของผู้บริโภคยังเปลี่ยนจากในอดีตที่เน้นฟังก์ชั่นการใช้งาน แต่ปัจจุบันต้องยอมรับว่าวัยรุ่นบ้านเรามีการเสพสื่อทำเห็นให้เห็นเทรนด์ต่างๆจากเมืองนอกและเริ่มซื้อสินค้าจาก design มากขึ้นทำให้ร้านของเราได้รับการตอบรับมากขึ้น”
3 เราได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของสถานการณ์โควิด 19
“จากการฟื้นตัวของโควิด-19 ทำให้ภาคอุตสาหกรรมค้าปลีกโดยรวมรวมถึงร้าน "โมชิโมชิ" ซึ่งเห็นการเติบโตตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นมาและต่อไปก็จะเริ่มดีขึ้นต่อเนื่องอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้ภาคการท่องเที่ยวดีขึ้น คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติ ทำให้ยอดการขาย 6 เดือนแรกปี 2565 เมื่อเทียบกับปี 2564 เราเติบโตสูงถึง 29% ส่วนร้านเดิมของเรามีอัตราเติบโตสูงถึง 21%
4 โมชิมีการบริหารต้นทุนสินค้าที่มีประสิทธิภาพทำให้มีอัตรากำไรสูง “เรามีการวางแผนสั่งซื้อล่วงหน้าเป็นปี และสั่งซื้อในจำนวนที่เพียงพอต่อการขายทำให้ไม่มีสินค้าคงเหลือที่มากเกินไป และมีอำนาจต่อรองต่อ supplier นอกจากนี้เรายังมีการออกแบบสินค้าที่ทันสมัยแต่ลดต้นทุนได้ โดยสินค้าใหม่เราจะออกตลาดจำนวนหนึ่งเพื่อทดลองตลาดเพื่อที่จะดู feedback และนำมา develop ใน collection ถัดไป ส่วนการบริหารคลังสินค้าเรามีศูนย์กระจายสินค้าเป็นของตัวเองซึ่งรองรับการขยายสาขาได้ ถึง 240 สาขา และมีช่องทางจำหน่าย 3 ช่องทางคือ 1เครือข่ายสาขาของบริษัท ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ไฮเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้าท้องถิ่น ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทยและมีเครือข่ายผู้ค้าช่วงอีก 1 หมื่นราย ที่ซื้อสินค้าไปขายต่อในพื้นที่ที่บริษัทยังไม่ครอบคลุม 2 การขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เช่น shopee Lazada และ3 Pop Up Store ที่จัดขึ้นชั่วคราวณพื้นที่ส่วนกลางของห้างสรรพสินค้าที่บริษัทยังไม่มีสาขา”
5 ศักยภาพในการทำกำไรเมื่อเทียบกับคู่แข่ง “หลักๆเราจะโฟกัสอัตรากำไรข้างต้นและอัตรากำไรสุทธิ ที่ผ่านมาแม้จะอยู่ในช่วงโควิด แต่ตั้งแต่ปี 2562 ถึงปี 2564 เราสามารถทำกำไรขั้นต้นได้ 51-53 % เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม21% ในขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่7-10% สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่อยู่ 5%
6 ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของทีมบริหาร “เรามีทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์ยาวนานและเชี่ยวชาญการพัฒนาสินค้า รวมถึงการบริหารจัดการค้าปลีกและค้าส่ง ที่สำคัญผู้บริหารมีความสัมพันธ์กับคู่ค้าและ supplier ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และความที่ผู้บริหารเป็นคนไทยทำให้เข้าใจสินค้าและรู้ว่าคนไทยชอบสินค้าแบบไหน กลุ่มราคาประมาณเท่าไหร่ เราถึงสามารถพัฒนาสินค้าได้ตรงใจกับผู้บริโภคในไทย”
อย่างไรก็ตามแม้ที่ผ่านมา ‘MOSHI’ จะมีผลงานที่โดดเด่น แต่ผู้บริหารยังคงวางกลยุทธ์ในการเติบโตในอนาคตอย่างรัดกุม เพื่อเอาชนะคู่แข่งซึ่งส่วนใหญ่เป็น chain store จากต่างประเทศ โดยกลยุทธ์ในการเติบโต 5 ข้อประกอบไปด้วย
1ขยายสาขาต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงทั้งในกรุงเทพฯปริมณฑลและต่างจังหวัด รวมถึงหัวเมืองใหญ่ที่ ‘MOSHI’ยังไม่มีสาขา “เรามองว่าเรายังมีโอกาสในการขยายสาขาอีกมาก เพราะปัจจุบันเรามีสาขาคิดเป็นสัดส่วนเพียง 18.5% ของจำนวนห้างสรรพสินค้าและไฮเปอร์มาร์เก็ตทั้งหมด ซึ่งเรามีเป้าหมายที่จะขยายสาขารวมกันมากกว่า 165 สาขาภายในปี 2568”
2 เพิ่มการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม โดยจะพัฒนาสินค้าใหม่ๆปีละมากกว่า 8,000 sku รวมถึงออกสินค้าในลักษณะของ collection สินค้าตามซีซั่นนอลและสินค้าลิขสิทธิ์การ์ตูนที่เป็นที่นิยมเพิ่มเติม จัดทำชุดเซ็ทสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่าการซื้อ รวมถึงการทำ virtual merchandise เพื่อ display สินค้าและใช้กลยุทธ์Co-Brandingกับอินฟูลเลนเซอร์เพื่อจัดกิจกรรมการขายอย่างต่อเนื่อง
3 เพิ่มขีดความสามารถในการเติบโตของกำไร โดยเน้นขยายร้านค้าปลีกที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าร้านค้าปลีกแบบมีส่วนลด ,ปรับสัดส่วนสินค้า product mix เน้นสินค้าที่มีกำไรสูงเช่นกลุ่มบิวตี้และกลุ่ม accessories ต่างๆ ,ออกแบบลวดลายสินค้าทันสมัย ,ลดขั้นตอนการผลิตเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มยอดขายรวมทั้งออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้น่าสนใจเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้า ซึ่งการเติบโตของสาขาที่ต่อเนื่องจะช่วยสร้างข้อได้เปรียบในเรื่องของอำนาจต่อรองและการเจรจาสั่งซื้อสินค้า
4 ลงทุนพัฒนาระบบไอที เพื่ออัพเกรดระบบซัพพลายเชน เช่นนำข้อมูลในอดีตมาวิเคราะห์ demand supply ทำให้สั่งซื้อสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปัจจุบันเราอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบสมาชิกลูกค้าหรือ membership เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าซึ่งจะทำให้การนำเสนอสินค้าได้ตรงความต้องการของลูกค้าแต่ละคน
5 พัฒนาช่องทางจำหน่ายสินค้าและธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะช่องทางจำหน่ายและการตลาดออนไลน์นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะขยายสาขาในรูปแบบ stand alone ในพื้นที่ใกล้แหล่งชุมชนโรงเรียนและแหล่งทำงานรวมทั้งแฟรนไชส์ในจังหวัดรองผ่านเครือข่ายลูกค้า
“สำหรับปีหน้าเราประเมินว่าธุรกิจสินค้าประเภทนี้มีโอกาสที่จะมีการแข่งขันที่สูง สิ่งสำคัญที่สุดถ้าเราเข้าใจตลาด และออกสินค้าที่ตรงกับตลาดและรักษาระดับราคาที่วางไว้ได้ รวมถึงดีไซน์ออกแบบที่ทันกับเทรนด์แฟชั่นอย่างต่อเนื่อง ปรับและอัพเดทให้เหมาะสมจะทำให้เรารักษา market share และคงความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งไว้ได้”
ทางด้านนางสาวศุภรดา โรจน์วัฒนะ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MOSHI เปิดเผยเพิ่มเติมถึงความแข็งแกร่งด้านการเงินว่า รายได้ของบริษัทจะมาจาก 3 ส่วนคือรายได้จากการค้าปลีก 87% รายได้จากการค้าปลีกแบบมีส่วนลด12% และส่วนที่เหลือจะเป็นช่องทางอื่นๆเช่นออนไลน์หรือ pop up store ภาพรวมรายได้แม้ว่าปี 2562-2564 จะเป็นช่วงโควิด แต่รายได้ของเราไม่ได้ปรับลดตัวลดลง และเริ่มเห็นการฟื้นตัวในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 จากสถานการณ์โควิดที่เริ่มคลี่คลายในทางที่ดีขึ้นรวมทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆเริ่มกลับมาคึกคักเหมือนเดิมโดยอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทสูงถึง 50% กำไรสุทธิ 17%
“ที่ผ่านมาในช่วงโควิดเรามีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญที่สุดคือการปรับ product mix ให้เข้ากับสถานการณ์ซึ่งเป็นตัวหลักที่ทำให้เราสามารถรักษาอัตรากำไรไว้ได้ เราเชื่อว่าหลังจากนี้ไปโควิดเริ่มดีขึ้นในทิศทางบวก รวมทั้งปัจจัยบวกจากการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวและการที่นักเรียนเริ่มกลับเข้าไปเรียนในสถานศึกษา คนทำงานกลับไปทำงานในออฟฟิศ รวมทั้งกิจกรรมเฉลิมฉลองต่างๆเริ่มกลับมา และที่กำลังจะเกิดขึ้นก็คือเทศกาลปีใหม่ ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนในเชิงบวกต่อธุรกิจไลฟ์สไตล์ได้ในอนาคต”
นอกเหนือจากความสำเร็จที่ผ่านมาและทิศทางธุรกิจที่เติบโตต่อเนื่องในปัจจุบันแล้ว MOSHI กำลังจะก้าวเข้าสู่การเติบโตใน Chapter ใหม่และพร้อมที่จะก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่ง “สง่า”เปิดเผยความคืบหน้าว่า ขณะที่บริษัทได้ยื่นไฟลิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้วเพื่อให้ทาง กลต. พิจารณาต่อไป
นอกเหนือจากนี้ยังมีแผนศึกษาการลงทุนขยายสาขาในต่างประเทศ “เรามีการเซ็ตทีมงานเพื่อศึกษาตลาดต่างประเทศ แต่เราจะต้องยอมรับว่าแต่ละประเทศชื่นชอบสินค้าไม่เหมือนกัน เช่นตอนนี้เรามีสินค้า 70% ที่สามารถนำไปขายต่างประเทศได้และอีก 30% อาจจะต้องเป็นสินค้าเฉพาะประเทศนั้นๆ ถ้าผลการศึกษาสำเร็จเราก็จะขยายต่างประเทศทันที คาดว่าหลังจาก 3 ปีไปเราจะเห็นภาพตรงนี้อย่างชัดเจนขึ้นในส่วนของตลาดต่างประเทศ
ส่วนปีนี้เรายังมองว่าตลาดในประเทศยังมีความน่าสนใจเพราะ ช่วงปลายปีเป็นซีซั่นที่คนจับจ่ายของเพื่อนำไปแจกและเป็นซีซั่นไฮไลท์ของเรา ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่จะทำให้สินค้าของเราขายดีมาก ส่วนปัจจัยลบเราอาจต้องระวังสถานการณ์โควิดที่แม้จะดีขึ้นแต่ก็ยังไม่แน่นอน”