ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (GSO) ระบุว่าในเดือนตุลาคม 2565 ที่ผ่านมายอดขายปลีกและบริการของประเทศเวียดนามอยู่ที่ประมาณ 486.400 พันล้านเวียดนามด่ง เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับ เดือนกันยายน 2565 และ 17% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564
นอกจากนี้ข้อมูลของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม (MoIT) อุตสาหกรรมค้าปลีก ของเวียดนามมีขนาดตลาดอยู่ที่ 142 พันล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นเป็น 350 พันล้าน เหรียญสหรัฐ ซึ่งคิดเป็น 59% ของผลิตภัณฑ์รวมในประเทศเวียดนาม และด้วยสัญญาณเชิงบวกของตลาดคาดว่า ในปี 2565 ค้าปลีกจะเติบโต 20% เมื่อเทียบกับปี 2564
โดยมีปัจจัยสำคัญที่หนุนอุตสาหกรรมค้าปลีกเวียดนามให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญคือ ในช่วงปลายปี 2565 ความต้องการซื้อของเวียดนามเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในช่วงตรุษเวียดนาม (Tet Holiday) ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2566 ซึ่งยอดขายปลีกสินค้าทั้งหมดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ในช่วงสิ้นปียังมีเทศกาลใหญ่อื่นๆ เช่น คริสต์มาส หรือ Black Friday
จึงเป็นโอกาสสำหรับสินค้าอุปโภคและบริโภคไทยที่จะเจาะตลาดเวียดนาม โดยการนำเสนอสินค้าใหม่ๆ ที่คนเวียดนามนิยมมอบในช่วงเทศกาลตรุษเวียดนาม อาทิ รังนก ชา และสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ และยังเป็นช่วงที่เหมาะในการจัดโปรโมชั่นและ กิจกรรมส่งเสริมตลาด เพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าสำหรับสินค้าที่วางจำหน่ายในตลาดเวียดนามแล้ว
จากความน่าสนใจของดีมานด์ในช่วง เทศกาลตรุษเวียดนาม บวกกับตัวเลขค้าปลีกที่เติบโตอย่างโดดเด่นนี้ การส่งสินค้าไปตีตลาดเวียดนามจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SME ซึ่งสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เองมีแผนผลักดันสินค้า SME ไทยให้สามารถขยายช่องทางจัดจำหน่ายไปยังประเทศเวียดนามเช่นกัน
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ทางสมาคมสมาคม ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับผู้ค้าปลีกเวียดนาม (Association of Vietnam Retailers - AVR) เพื่อยกระดับความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจและสินค้าระหว่างประเทศไทย และประเทศเวียดนาม เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการค้า และเสริมศักยภาพให้แก่ภาคีเครือข่าย โดยเฉพาะ SMEs ให้มีช่องทางการขายและเพิ่มรายได้มากขึ้น ซึ่งสอดรับกับการลงนามข้อตกลง แผนปฏิบัติการ และบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding - MOU) 5 ฉบับ ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลเวียดนามในช่วงการประชุม APEC 2022 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้สาระสำคัญของการลงนามความร่วมมือครั้งนี้อยู่ที่ การส่งเสริมความร่วมมือ ความสัมพันธ์ทางการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เพื่อสร้างความเข้มแข็งของการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเพิ่มมูลค่าทางการค้าของสองประเทศให้ถึง 2.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2568
ขณะเดียวกันยังสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ SMEs ในภาคค้าปลีกและบริการของไทย และเวียดนามที่มีจำนวนมากถึง 3 ล้านราย ให้เข้มแข็งและเป็นเครื่องยนต์หลักในการพัฒนาสินค้า และนวัตกรรมในระหว่างภูมิภาค ควบคู่ไปกับการส่งเสริมโอกาสทางการค้า และการลงทุน โดยการแลกเปลี่ยนความรู้ ความเชี่ยวชาญ และความเป็นเลิศทางด้านการพัฒนาธุรกิจและการค้า อํานวยความสะดวกทางการค้าและการจับคู่ธุรกิจระหว่าง SMEs ไทยและเวียดนาม รวมทั้งภาคีเครือข่ายของทั้งสองสมาคมเพื่อสนับสนุนให้สมาชิกทำธุรกิจที่มีการเติบโตแบบยั่งยืนและมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยการมีส่วนร่วมในโครงการ ไม่ว่าจะเป็น การสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดจำนวนขยะ ลดการใช้พลังงาน เป็นต้น