นายศุภณัฐ สัจจะรัตนกุล ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารบริษัท เดอะ ฟู้ด ซีเล็คชั่น กรุ๊ป จำกัด ผู้บริหาร “ร้านชินคันเซน ซูชิและนักล่าหมูกระทะ” เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะมียอดขาย 1,500 ล้านบาท เติบโตขึ้น 25% จากปีก่อนที่มียอดขายราว 1,000 ล้านบาท โดยการทำตลาดจะเดินหน้าภายใต้กลยุทธ์
1. More Store ขยายสาขาร้านชินคันเซน ซูชิเพิ่ม 8 สาขาและนักล่าหมูกระทะเพิ่ม 4 สาขา 2. More Quality ขยายครัวกลาง 1 เท่าตัว เพื่อรองรับจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นและจัดการต้นทุนได้ถูกลงและมีคุณภาพ 3. More Customer สร้างการรับรู้และเพิ่ม Engatement ในทุกช่องทางโดยเน้น Viral Marketing ทั้ง TikTok, YouTube Shorts และ IG
4. More Channel เพิ่มช่องทางการขายให้เพิ่มมากขึ้น เช่น ชินคันเซ็น แคทเทอริ่งและ Self Service ลูกค้าสามารถสั่งอาหารล่วงหน้าก่อนเข้ามารับอาหารที่ร้าน 5. More Happiness เพื่อดูแลพนักงานโดยพิ่มเบเนฟิตต่างๆให้กับพนักงานมากขึ้น และ 6. More Tech ผ่าน Digital transformation ทั้งการทำ QR ordering สำหรับสั่งอาหาร นอกจากนี้บริษัทยังตั้งเป้าหมายที่จะมียอดขาย 2,000 ล้านบาทใน 3 ปี ซึ่งจะขยายสาขาชินคันเซ็นซูชิ เพิ่ม 30 สาขา ทำให้มีสาขาเปิดให้บริการรวม 70 สาขาด้วย
ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมาบริษัทมีการเติบโตมากกว่า 57% จากการขยายสาขาเพิ่มขึ้น 9 สาขา รวมทั้งการร่วมทุนกับบริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด หรือ CRG และเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “นักล่าหมูกระทะ” ซึ่งถือเป็นแบรนด์ไฮไลท์ เป็น Top Star ที่ในอนาคตอาจจะเติบโตมากกว่าชินคันเซ็น ซูชิ ที่ปัจจุบันมี 44 สาขา ส่วนชินคันเซ็น โอมากาเสะมี 2 สาขาและนักล่าหมูกระทะ 2 สาขา
“นักล่าหมูกระทะเป็นแบรนด์สตาร์ของเรา เปิดสาขาแรกที่ MBK จนตอนนี้มี 46 โต๊ะรองรับลูกค้าได้ประมาณ 150 คน และได้รับผลตอบรับของลูกค้าที่ค่อนข้างดีมาก ส่วนใหญ่จะเป็นการบอกต่อปากต่อปากด้วยลูกค้าที่มาทานซ้ำ ทำให้เราเติบโตได้อย่างรวดเร็วและมีคิวแน่นตลอดเวลา สาเหตุที่แบรนด์ติดตลาดเร็ว
เพราะเราสามารถแก้ไขพื้นฐานทุกอย่างของหมูกระทะทั้งเรื่องของความร้อนและกลิ่นโดยติดแอร์และเครื่องดูดควัน ความสะอาด ตั้งแต่วัตถุดิบที่ได้คุณภาพมาตรฐานและสุดท้ายคือเรื่องของความคุ้มค่า คุ้มราคา ซึ่งยังคงคอนเซปท์ เหมือนเดิมทำให้ลูกค้าตอบรับเป็นอย่างดีและค่อนข้างมาก”
นายศุภณัฐ กล่าวอีกว่า การได้ซินเนอร์จี้กับ CRG ที่มีทั้งทรัพยากรบุคคล ระบบหลังบ้านและระบบต่างๆที่จะทำให้เราขยายและเติบโตได้ในอนาคต ปัจจุบันเรามีร้านอาหารทั้งหมด 40 สาขา ในอนาคตเราต้องการขยายไปทั่วประเทศ รวมทั้งขยายตลาดไปยังต่างประเทศอย่างน้อย 100 สาขาได้อย่างแน่นอน”
สำหรับร้านชินคันเซ็น ซูชิ ถือเป็นร้านซูชิเล็กๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อ 9 ปีก่อน แต่ได้รับการตอบรับและเติบโตอย่างรวดเร็ว จนสามารถจดทะเบียนเป็นบริษัท เดอะ ฟู้ด ซีเล็คชั่น กรุ๊ป จำกัดในปีถัดมา ก่อนจะเริ่มขยายสาขาที่ 2-3 ในปี 2559 และในปี 2560 ก่อนจะรุกเข้าไปขยายสาขาในห้างสรรพสินค้าหลังจากเน้นขยายสาขาตามแนวมหาวิทยาลัยมาโดยตลอด
นอกจากการเป็นร้านที่คุ้มค่าคุ้มราคาแล้ว ชินคันเซ็น ซูชิเริ่มพัฒนาคุณภาพของอาหารเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าและให้ได้มาตรฐานเหมือนกันทุกสาขา จึงลงทุนสร้างครัวกลางที่ได้มาตรฐานอุตสาหกรรม โดยในปี 2561 สามารถปิดยอดขายได้ 270 ล้านบาทถือเป็นปีแรกที่ยอดขายของบริษัททะลุร้อยล้านบาท ก่อนที่จะเปิดแบรนด์ใหม่ “ชินคันเซ็น โอมากาเสะ” ในปี 2562
อย่างไรก็ตาม แม้ที่ผ่านมาบริษัทจะสามารถทำยอดขายเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แต่การเข้ามาของโควิด-19 ทำให้ในปี 2563 บริษัทได้รับผลกระทบจากมาตรการ ปิดประเทศ-ห้ามทานในร้าน ซึ่งบริษัทได้ปรับตัว โดยหันมาเน้นช่องทางเดลิเวอรี่มากขึ้น ทำให้สามารถสร้างยอดขายเติบโตเกือบ 20% และในปี 2564 วิกฤตโควิดเริ่มคลี่คลาย บริษัทจึงกลับมาขยายสาขาเพิ่มอีก 8 สาขา และเติบโตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,881 วันที่ 23 - 26 เมษายน พ.ศ. 2566