นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดสาหร่าย และในปีนี้ที่บริษัทดำเนินธุรกิจเข้าสู่ปีที่ 20 บริษัทจึงมุ่งเน้นการตลาดในระดับสากล เพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์
โดยแบ่งสัดส่วนธุรกิจในตลาดไทย 40% และต่างประเทศ 60% พร้อมตอกย้ำกลยุทธ์ ‘GO Broad’ คือการขยายฐานธุรกิจ สินค้า และตลาดในไทยให้กว้างและแข็งแกร่งขึ้น ทั้งการรุกตลาดสินค้ากลุ่มสาหร่ายอบที่มีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง ยึดตลาดกินรวบเป็นผู้นำในทุกเซ็กเม้นท์สาหร่ายในประเทศไทย และการเตรียมขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ ทั้งด้วยการทำเอง หรือการจับมือกับพันธมิตรขยายธุรกิจไปด้วยกัน
ล่าสุดเป็นการจับมือแต่งตั้งพันธมิตรศูนย์กระจายสินค้า 14 ราย กระจายสินค้าให้ครอบคลุมช่องทางเทรดดิชั่นเนลเทรดทั่วประเทศให้ลึกขึ้น ควบคู่ไปกับ ‘Go Global’ คือการขยายตลาดในต่างประเทศ และการสร้างแบรนด์ให้เป็น Global Brand มากยิ่งขึ้น ปัจจุบันมีการจัดจำหน่ายในช่องทางชั้นนำทั่วโลก อาทิ Hema, Ole, Walmart, 7-11, Costco, Wholefood
จากภาพรวมการท่องเที่ยวของไทยที่มีทิศทางการฟื้นตัวเร็ว ตลาดท่องเที่ยวไทยกับมาคึกคัก นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยกันเป็นจำนวนมาก ถือว่าเป็นสัญญาณทางธุรกิจที่ดี โดยเถ้าแก่น้อยมีแผนการขยายเถ้าแก่น้อยแลนด์ อาณาจักรสาหร่ายเถ้าแก่น้อย แบบ One Stop Shopping พร้อมกลับมาเปิดอย่างเป็นทางการที่แรกที่เอเชียทีค เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่คาดการณ์ว่าจะสูงถึง 30 ล้านคน ในปี 2566
ทั้งนี้เถ้าแก่น้อยยังคงเน้นการสร้างสินค้าสาหร่ายใหม่ๆ ทั้งในเรื่องรสชาติ และ รูปแบบใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์และผลักดันตลาดให้เติบโตต่อเนื่องในฐานะเป็นผู้นำตลาด เช่น การออกสาหร่ายย่างแนวแผ่นหยักรายแรกในตลาดเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อ เถ้าแก่น้อย Wave หรือ สาหร่ายอบ แผ่นยาวแนวใหม่ ภายใต้ชื่อ เถ้าแก่น้อย Long Sheet ที่มาเสริมตลาดอบให้เติบโตยิ่งขึ้น พร้อมพัฒนากลุ่มสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้บริษัทยังให้ความสำคัญกับเรื่องการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainable organization) บริษัทมีการดำเนินงานตามแผน esg (Environment, Social และ Governance) ทั้งวิชั่นและกลยุทธ์ในอนาคต การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ตั้งแต่เรื่องการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ในโรงงานผลิตทั้งหมด เพื่อลดการใช้พลังงาน
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่เถ้าแก่น้อยทำมาโดยตลอด นั่นคือ Idol Marketing สร้างการจดจำ และสร้างรับรู้ในวงกว้างผ่านแบรนด์แอมบาสเดอร์ โดยเน้นการเป็น Trend Setter หรือ ผู้นำเทรนด์ให้อยู่ในกระแสเสมอ และ Trend Catcher คือการที่จับกระแสความนิยมของกลุ่มผู้บริโภคอยู่เสมอ พร้อมสร้างสรรค์กิจกรรม นำเสนอสิ่งที่สนุก เข้ากับกระแส และเทรนด์ของผู้บริโภค เพื่อให้แบรนด์ทันสมัยอยู่เสมอ
ล่าสุดกับการรวมตัวของ 3 แบรนด์แอมบาสเดอร์ “กลัฟ คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์ และ ซี พฤกษ์ พานิช - นุนิว ชวรินทร์ เพริศพิริยะวงศ์” ซึ่งทั้ง 3 คน มีคาแรคเตอร์ที่เข้ากับแบรนด์ ทั้งในเรื่องภาพลักษณ์ ความเป็นที่นิยมต่อกลุ่มเป้าหมาย และความแปลกใหม่ สามารถเป็นตัวแทนแบรนด์ได้อย่างเหมาะสม และทำงานร่วมกันได้อย่างสนุกสนาน พร้อมสร้างประสบการณ์และส่งมอบความสุขให้กับผู้บริโภคอยู่เสมอ
“เถ้าแก่น้อยยังทุ่มงบจัดอีเวนต์ใหญ่ใจกลางเมือง เพื่อนำเสนอเรื่องราวการเดินทางของเถ้าแก่น้อย จากสาหร่ายแบรนด์ไทยที่ขยับขยายสู่หลายประเทศทั่วโลก พร้อมสร้างความมั่นใจในเรื่องคุณภาพ และ ความอร่อย ความแปลกใหม่ และการสร้างความสุขให้กับผู้บริโภคเสมอ เน้นสร้างสีสันให้กับชีวิตผ่านการใช้ชีวิตในไลฟ์สไตล์ของตัวเอง
ซึ่งเข้ากับ Brand Essence ของเถ้าแก่น้อย นั่นคือ Live Deliciously: ใช้ชีวิตอย่างมีรสชาติ และตอกย้ำคุณภาพและผู้นำสาหร่าย ถ้าสาหร่ายต้องเถ้าแก่น้อย พร้อมเปิดประสบการณ์ให้กับกลุ่มลูกค้าได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับ เถ้าแก่น้อย และกลุ่มแฟนๆ ได้มีโอกาสร่วมสนุกกับแบรนด์แอมบาสเดอร์ ซึ่งนับว่าเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการสร้าง Brand Love ของเถ้าแก่น้อย”
ปัจจุบันสาหร่ายเถ้าแก่น้อย ครองส่วนแบ่งในตลาดรวม 65% โดยมียอดขายมาจากสาหร่ายทอด 55% สาหร่ายอบ 30% สาหร่ายย่าง 13% อย่างไรก็ดีหลังการรุกทำตลาดในเมืองไทยและต่างประเทศ บริษัทตั้งเป้าว่าจะผลักดันให้ตลาดรวมสาหร่ายในไทยเติบโต 20% และภาพรวมธุรกิจเติบโต 15% ด้วย