หลังจากเซ็นทรัล รีเทล ตั้งเป้าสู่การเป็นเบอร์ 1 Next-Gen Omni Retailer แห่งเอเชีย ภายใต้ยุทธศาสตร์ CRC Retailligence ล่าสุดเปิดตัวโมเดลค้าปลีกอัจฉริยะตัวใหม่ C-Verse หนึ่งในโปรเจ็กต์ที่อยู่ภายใต้ CRC Immersive Retail Platform ที่ใช้ Generative AI มาสร้างโลกเสมือนที่เชื่อมทุกช่องทางการช้อปปิ้งทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ โซเชียลมีเดีย Live Streaming และ Virtual Store ไว้ด้วยกัน
นางสาวณัฐธีรา บุญศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจพาณิชย์ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในฐานะที่ CRC พัฒนา CRC Immersive Retail Platform ซึ่งใช้เทคโนโลยีAI ในการเชื่อมต่อทุกช่องทางของการช้อปปิ้งเอาไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นออฟไลน์ ออนไลน์ โซเชียลมีเดีย Live Streaming และ Virtual Store เพื่อสร้างประสบการณ์ การช้อปปิ้งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า และที่สำคัญคือสร้างช่องทางจำหน่ายใหม่ๆเพิ่มให้กับแบรนด์ พาร์ทเนอร์และคู่ค้าของCRC และเป็นหนึ่งใน vision ของ CRC ที่ต้องการนำเทคโนโลยีต่างๆมาสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
ทั้งนี้โปรเจ็กต์ C-Verse เป็นโปรเจ็กต์ ภายใต้ CRC Immersive Retail Platform ตามแผนการลงทุน 5 ปีภายใต้งบลงทุนหลายพันล้านบาท เบื้องต้นจะนำร่องที่ Top Club พระราม2 โดยสร้าง Digital Retail in Store ขึ้นมาซึ่งเป็นการยก Top Club ขึ้นมาอยู่บนโลกดิจิตอลเพื่อให้ลูกค้าสามารถช้อปปิ้งบนโลกเสมือนได้ ลูกค้าสามารถเลือกอวตารและช็อปปิ้งผ่านแอพพลิเคชั่นC-Verse ได้เหมือนโลกจริง สิ่งที่แตกต่างและเป็นที่แรกของโลกก็คือวิธีการนำเสนอสินค้าซึ่งลูกค้าสามารถสัมผัสผ่านปลายนิ้วเพื่อดูสินค้าได้ 360 องศา
“C-Verse ของเรามีฟีเจอร์ที่โดดเด่นอยู่ 3 อย่าง 1 นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่ทำให้ลูกค้าสามารถสัมผัสสินค้าได้เหมือนหยิบจากเชลฟ์ สามารถหมุนดูสินค้าได้ 360 องศา เพื่อมองเห็นสินค้าได้อย่างละเอียด และสามารถซื้อสินค้าได้จริงไม่ใช่แค่ชม 2 เราใช้ตัว Generative AIเข้ามาเพื่อสร้างผู้ช่วยที่ทำหน้าที่แนะนำสินค้าต่างๆในรูปแบบเรียลไทม์ 3 Application C-Verse สามารถเชื่อมโลกจริงและโลกเสมือนเป็นการช้อปปิ้งแบบ Omni Channel และสามารถคอนเน็คกับลูกค้าจริงๆที่ Top Club พระราม 2 ได้ สามารถถ่ายรูปร่วมกันได้ หรือเล่นเกมด้วยกันได้”
ผู้บริหารยังกล่าวถึงเบื้องหลังการเลือก Top Club เป็นโมเดลนำร่องว่า “ เพราะ Top Club มีสาขาเดียวที่พระราม 2 ซึ่งอาจจะไม่ได้ง่ายนักสำหรับลูกค้าที่จะเข้าไปช้อปปิ้งดังนั้นถ้าเราสามารถสร้าง Virtual Store ขึ้นมาได้ก็อาจจะทำให้ลูกค้าอยู่ที่ไหนก็ตามสามารถเข้าไปช้อปปิ้งได้ เป็นการเพิ่มความสดวกให้ลูกค้าช้อปผ่าน C-Verse และรอรับสินค้าที่บ้านได้เลย หากได้รับการตอบรับที่ดีเราอยากจะพัฒนาต่อใน category ของ Beauty โดยจะสร้างเป็น Special Store เป็น World of Beauty ให้ลูกค้าที่สนใจเรื่องความงามเข้ามาช้อปปิ้งบนโลกเสมือนจริงได้ หรืออาจจะเพิ่มcategory เกี่ยวกับบ้านหรือของตกแต่งบ้านต่างๆ นี่คือสิ่งเราวางแผนกันไว้
และในอนาคตเราอยากจะรวมธุรกิจในเครือหรือต่างประเทศ เช่น รีนาเชนเต (Rinascente) ประเทศอิตาลี มาใส่ในC-Verse เพื่อให้ลูกค้าในเมืองไทยหรือใครก็ตามในโลกสามารถเข้าถึงProduct ที่เราขายในยุโรป ซึ่งน่าจะ Complete ทุก Business ที่อยู่ภายใต้ CRC ประมาณ 3-5 ปี”
อย่างไรก็ตาม CRC ตั้งเป้าหมายสำหรับ C-Verse ว่าภายในปีนี้จะต้องมียอดดาวน์โหลด 30,000 ดาวน์โหลดจากลูกค้า The One ปัจจุบัน20 ล้านคน และคาดว่า platform นี้จะช่วยดันยอดขายในส่วนของ Personal Shopper เป็น 30% ภายในปีนี้จากปัจจุบัน 10% ขณะที่สัดส่วนการขายจากช่องทางออนไลน์ในประเทศไทยปัจจุบันอยู่ที่ 8%
“เราจะวัดความสำเร็จของ C-Verse จากEngagementของลูกค้า ยอดขายและวัดจากหลายมิติ เพราะแพลตฟอร์มนี้ไม่ได้มุ่งเน้นการสร้างยอดขายอย่างเดียว แต่เน้นสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆเข้ามาด้วยแน่นอนยอดขายก็เป็นผลพลอยได้”