นายสมชาย อัศวปิยานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ด้วยสภาพของสังคมเมืองและความเร่งรีบในปัจจุบันส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคข้าวในปัจจุบันอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงเทรนด์การบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพที่ทำให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจเรื่องอาหารการกินมากขึ้น
ทำให้ธุรกิจต้องพัฒนาสินค้าที่จะตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ได้ครอบคลุมที่สุด โดยเอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ เองอยู่ในอุตสาหกรรมเบเกอรี่และอาหารรองท้องพร้อมทานมานาน เห็นความสำคัญเรื่องของสุขภาพผู้บริโภคด้วย จึงคิดค้นและพัฒนาเมนูใหม่ๆที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ทั้งเรื่องความอร่อย สะดวก และดีต่อสุขภาพ ไปพร้อมๆ กัน
โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นกลุ่ม Innovative Products เนื่องจากมองว่า เป็นกลุ่มสินค้าที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่และไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการตัวช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับชีวิต นวัตกรรมข้าวอัดแท่ง หรือ “ข้าวแท่ง” เป็นสินค้าที่สามารถรองรับการขายทั้งช่องทาง B2B และ B2C ผ่านการนำเสนอ 3 รูปแบบ คือ
1. ข้าวแท่งแบบอุ่นร้อน ด้วยเครื่องอบร้อนที่ออกแบบเป็นโมลทรงเมล็ดข้าว วางจำหน่ายหน้าร้านสาขาต่างๆ ของร้านข้าวแท่ง Rice Bar by NSL
2. ข้าวแท่งแบบ Frozen สำหรับเก็บไว้ในตู้เย็นให้ผู้บริโภคอุ่นทานด้วยไมโครเวฟได้เองที่บ้าน มีวางจำหน่ายใน Retail ร้านสะดวกซื้อ โดยเริ่มจำหน่ายที่แรกที่ท็อปส์และแฟมิลี่มาร์ททั่วประเทศ
3. ข้าวแท่งแบบ Retort ที่สามารถเก็บไว้ได้ ณ อุณหภูมิห้อง เหมาะสำหรับการส่งออก ซึ่งสามารถฉีกซองทานได้เลย หรือจะนำไปอุ่นร้อนก่อนทานก็ได้
“เราเปิดหน้าร้านสาขาแรกไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ณ สยามสแควร์วัน ถือเป็น Flagship สาขาใหญ่ ต้นแบบของสาขาอื่นๆ ผลตอบรับถือว่าค่อนข้างดี แม้ว่าช่วงแรกค่อนข้างเงียบเหงา เพราะคนยังไม่รู้จักสินค้า ข้าวแท่งถือว่าเป็นสินค้ารูปแบบใหม่ ต้องสร้างการรับรู้ค่อนข้างมาก การทำตลาดจึงเน้นไปที่การทดลอง แจกชิม เน้นเข้าถึงลูกค้าตามแหล่งชุมชน คนทำงาน และสร้างการบอกต่อและรีวิวผ่านโซเชียลมีเดียจำนวนมากทำให้แบรนด์ได้พื้นที่สื่อค่อนข้างเยอะ ลูกค้าติดแบรนด์ และกลับมาซื้อซ้ำมากขึ้น”
อย่างไรก็ตามนอกจากกลุ่มเป้าหมายลูกค้าคนไทยแล้ว ตลาดนักท่องเที่ยวจีนยังเป็นกลุ่มตลาดใหญ่ที่น่าสนใจ ซึ่งทางแบรนด์มีรสชาติที่คิดค้นมาเพื่อรองรับสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีนและต่างชาติทุกชาติ เช่นรสชาติข้าวเหนียวทุเรียนและข้าวเหนียวมะม่วง ที่เป็นที่ชื่นชอบอย่างมากในกลุ่มนักท่องเที่ยว
ปัจจุบัน “ข้าวแท่ง” เปิดให้บริการแล้ว 5 สาขา คือ สยามสแควร์วัน ชั้น 2,สีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น บี,บีทีเอส หมอชิต บีทีเอส อโศก,บีทีเอส พญาไทและออกบูธตามสถานี MRT และฟู้ดทรัคภายในพื้นที่กรุงเทพฯ ส่วนแผนการขยายในอนาคตจะเพิ่มในส่วนของตู้เวนดิ้งข้าวแท่ง กระจายไปตามสถานศึกษา คอนโด อาคารสำนักงาน เป็นต้น
ขณะที่การขยายตลาดต่างประเทศ มองว่าข้าวแท่ง สามารถส่งออกไปวางจำหน่ายได้ทุกประเทศ เพราะอาหารไทยมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ เห็นได้จากผลตอบรับจากการไปออกงาน ThaiFex ที่ผ่านมามีลูกค้าต่างประเทศสนใจค่อนข้างมาก โดยเฉพาะโซนเอเชีย จีน ฮ่องกง ไต้หวัน อาจจะเริ่มจากภายในโซนเอเชียก่อนเพื่อเป็นการทดลองตลาด
นายสมชาย กล่าวต่อไปว่า ในอนาคตอันใกล้บริษัทจะยังคงเน้นการพัฒนาสินค้ากลุ่ม Innovative Products เนื่องจากมองว่า เป็นกลุ่มสินค้าที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่และไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ ต้องการตัวช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับชีวิต ซึ่งนวัตกรรม “ข้าวแท่ง” นั้นมีผลตอบรับที่ดีขึ้นต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามปัจจุบันบริษัทพยายามจะควบคุมราคา และคุณภาพให้คงเดิมเพื่อรักษาระดับคุณภาพของสินค้าให้เป็นไปตามนโยบายที่วางไว้ และข้าวแท่ง ถือเป็นอาหารรองท้อง มีจุดขายที่เน้นความสะดวก รวดเร็ว ราคาสินค้าไม่แพงเมื่อเทียบกับปริมาณไส้ จึงทำให้ลูกค้าซื้อเราเพราะรู้สึกคุ้มค่า คุ้มราคา เราจึงต้องพยายามคงราคาไว้ให้ได้ เพราะถ้าปรับขึ้นราคาก็อาจจะมีผลกระทบต่อผู้บริโภคเหมือนกัน
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 1,097.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.6% กำไรสุทธิ 75.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.14% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 66.59 ล้านบาท โดยรายได้หลักกว่า 99.8% มาจากการขายกลุ่มเบเกอรี่และรองท้อง กลุ่มขนมขบเคี้ยวแบรนด์ของ NSLและซื้อมาขายไป กลุ่ม Food Services กลุ่ม OEM และรายได้อื่นๆ 0.2%
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,903 วันที่ 9 - 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2566