ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมิน การขยายตัวของรายได้โรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปี 2566 น่าจะอยู่ที่ 3.7% ชะลอลงจากปีก่อนหน้า เนื่องจากรายได้จากกลุ่มคนไข้โควิดที่ลดลง และคาดว่าทิศทางหลังจากนี้รายได้ของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนน่าจะทยอยปรับเข้าสู่ฐานเดิมก่อนโควิด จากทั้งรายได้ของคนไข้ต่างชาติที่ทยอยกลับมาตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
โดยเฉพาะตลาดคนไข้หลักอย่างตะวันออกกลาง ที่คาดว่าจะเข้ามาใช้บริการจำนวนมากในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งถือเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยวของคนไข้กลุ่มดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มคนไข้ต่างชาติ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) รวมถึงรายได้จากคนไข้ไทย ทั้งกลุ่มประกันสังคมและกลุ่มคนไข้ทั่วไป ที่คาดว่าจะกลับมาใช้บริการเพิ่มขึ้นด้วย
อย่างไรก็ดีแม้ว่าปี 2566 รายได้ของโรงพยาบาลเอกชนจะยังคงเติบโต แต่กำไรของธุรกิจยังเผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัย ซึ่งนอกจากฐานที่สูงในปีก่อน สะท้อนได้จากไตรมาสแรกของปี 2566 ธุรกิจมีกำไรลดลง 42% YoY จากกลุ่มคนไข้โควิดที่ลดลงแล้ว ในช่วงที่เหลือของปีนี้ แม้คาดว่าสถานการณ์ของธุรกิจจะทยอยปรับตัวดีขึ้น
แต่กำไรของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนยังถูกกดดันจากต้นทุนในการดำเนินธุรกิจที่ยังสูงและการแข่งขันที่รุนแรง ส่งผลให้ทั้งปีคาดว่ากำไรของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนจะลดลงราว 8.5% (YoY)
และในอนาคตข้างหน้าคาดว่ายังมีโจทย์ทางด้านบุคลากรทางการแพทย์ที่ขาดแคลน โดยเฉพาะแพทย์เฉพาะทาง รวมถึงยังต้องติดตามประเด็นต่างๆ ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น การควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์ นโยบายกองทุนด้านสุขภาพต่างๆ เช่น ระบบประกันสังคมที่อาจมีการเปลี่ยนแปลง การเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้น เช่น ตรวจสุขภาพประจำปี สวัสดิการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการดำเนินงานและผลประกอบการของธุรกิจในระยะถัดไป