ชื่อของ บริษัท เอส แอนด์ เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ S&J อาจไม่เป็นที่คุ้นมากนัก แต่นับว่าเป็นหนึ่งในหน่วยธุรกิจที่สำคัญของบิ๊กเนมอย่าง “เครือสหพัฒน์” ในฐานะผู้ผลิตเครื่องสำอางให้กับแบรนด์ต่างๆภายใต้เครือสหพัฒน์ พร้อมกับเป้าหมายใหญ่ในการไต่ระดับขึ้นแท่นTop 3 ในประเทศไทย และ Top 5 ในตลาดอาเซียน
ศ.ดร.ภญ.มาลิน อังสุรังษี กรรมการฝ่ายเทคนิคและกิจกรรมเพื่อสังคม ของบริษัท เอส แอนด์ เจฯ เล่าย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของหน่วยธุรกิจนี้ว่า ที่ผ่านมา S&J เติบโตในฐานะผู้ให้บริการผลิตสินค้าเครื่องสำอางทั้งในรูป OEM และ ODM แบบ one stop service มากว่า 40 ปี โดยเริ่มตั้งแต่การพัฒนาตามสูตรลูกค้าหรือออกแบบสูตรให้ลูกค้า การจัดหาวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ไว้ใช้เตรียมสูตรและ ผลิตผลิตภัณฑ์ การทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัย พร้อมกับเข้าสู่กระบวนการผลิต และตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ จนสุดท้ายจัดการส่งสินค้าถึงมือลูกค้า ทุกขั้นตอนที่ดำเนินการ เป็นไปตามมาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากองค์กรต่าง ๆ รวมทั้งให้บริการแนวคิดและกลยุทธ์การตลาดให้ลูกค้า เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ลูกค้าเช่นกัน
จุดแข็งหนึ่งของบริษัทคือ การมี “หน่วยงานวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม” ซึ่งมีทีมงานมากด้วยศักยภาพในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบที่วิจัย และจากเทคโนโลยีเฉพาะที่คิดค้นขึ้นเองอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ป้อนสู่ตลาดอย่างสม่ำเสมอ “การลงทุนเพิ่มการทำงานด้านวิจัยและนวัตกรรม ได้สร้างการเติบโตให้บริษัทฯ ค่อนข้างก้าวกระโดด โดยจากเมื่อ 20 ปีก่อน ที่เน้นเพียงงานพัฒนา มียอดรายได้ไม่ถึงพันล้านบาท แต่เมื่อมีงานวิจัยและนวัตกรรมอย่างจริงจัง พบรายได้แตะที่4 พันล้านบาทในช่วงระยะเวลาประมาณสิบปีหลังจากนั้น”
อย่างไรก็ตามผู้บริหารยังเปิดเผยถึงก้าวต่อไปของ S&J ว่าจากแนวโน้มความนิยมความงามคู่สุขภาพของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นมาก อีกทั้งมีความต้องการความเป็นธรรมชาติมากขึ้น บริษัทให้ความสนใจในการสร้างสรรผลิตภัณฑ์ที่เน้นส่วนผสมจากธรรมชาติมากขึ้นเช่นกัน จากการที่มีหน่วยงานวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม จึงไม่ยากที่จะคิดค้นสูตรเครื่องสำอางธรรมชาติหลากชนิดจนสามารถได้ชนิดที่มีส่วนผสมของสารธรรมชาติ 100% หรือมากกว่า 95% ได้ แต่ชนิดที่สร้างจุดเด่นแตกต่างจากตลาดคือ การเตรียมสูตรที่ใช้สารออกฤทธิ์จากพืชหรือสมุนไพรไทยที่บริษัทวิจัยขึ้นเอง อาทิ ผลิตภัณฑ์กันแดดไม่ทำลายปะการังจากข้าวไทย แป้งทาหน้าพร้อมบำรุงผิวจากสมอไทย เป็นต้น
นอกจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ บริษัทยังสนใจสร้างสรรผลิตภัณฑ์ให้กับผู้บริโภคที่ต้องการความแปลกใหม่โดยอาศัยเทคโนโลยีที่หลากหลาย ที่โดดเด่นมากคือ เทคโนโลยีเปลี่ยนรูปลักษณ์ หรือ Transformation Technology ทำให้บริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ที่สร้างกระแสในตลาดอยู่เนือง ๆ ตัวอย่างเช่น ลิปสติคเปลี่ยนจากไม่มีสีเป็นมีสีเมื่อทาผิว แอลกอฮอล์เปลี่ยนจากที่เป็นเจลเป็นละอองฝอยเมื่อฉีดพ่น เป็นต้น
นอกเหนือไปจากนั้น กระแสการบริโภคยุคใหม่โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเพื่อไม่ให้เกิดปัญหากระทบ ทั้งที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ความงามของสิ่งแวดล้อม และการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิต เช่น ไม่ให้เกิดภาวะโลกร้อน ไม่มีขยะ
พลาสติคในท้องทะเล ปะการังยังมีชีวิตให้ความสวยงามและเป็นที่พักพิงของสัตว์น้ำอื่นได้ เป็นต้น ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมรวมอยู่ในข่ายการเลือกซื้อของผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ต้องการมีส่วนช่วยลดปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดกับสิ่งแวดล้อมด้วย
S&J จึงตั้งภารกิจที่ต้องสนับสนุนคุณภาพที่ดีของสิ่งแวดล้อม ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่ผลิต นอกจากเน้นส่วนผสมที่เป็นธรรมชาติแล้ว ชนิดไม่ใช่ธรรมชาติ ต้องไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย เช่น สารกันแดดที่ผสมในผลิตภัณฑ์กันแดดต้องไม่ทำลายปะการัง ฯลฯ อีกทั้งบรรจุภัณฑ์และฉลากของผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ต้องไม่เป็นปัญหาหรือช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ เช่น มีการนำเสนอบรรจุภัณฑ์ที่เป็นกระดาษ หรือ PCR แผ่นฟิมพ์ที่เป็นพลาสติคชีวภาพ หมึกพิมพ์ฉลากที่เป็น soy ink เป็นต้น เพื่อให้ลูกค้าพิจารณาเลือก ซึ่งเป็นอีกวิถีทางหนึ่งในการรักษาสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่อย่างยั่งยืน
ด้วยการสร้างความยั่งยืนในทุกกระบวนการตลอดห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ S&J ได้สร้างคุณภาพของสินค้าที่ดีและเป็นที่พึงพอใจของลูกค้าทั้งไทยและต่างประเทศ โดยได้มีการผลิตสินค้าส่งออกทั่วโลกกว่า 50 ประเทศ ครอบคลุมประเทศต่าง ๆ ในทวีปเอเชีย ยุโรป ออสเตรเลีย อเมริกา และแอฟริกา ทั้งนี้ บริษัท ฯ ก็ไม่ได้หยุดนิ่งเพียงบนฐานของลูกค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่มีแผนชยายฐานส่งออกไปยังตลาดในประเทศอื่นๆเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงการขยายฐานลูกค้าใหม่ภายในประเทศไทยเช่นเดียวกัน
“กลุ่มภูมิภาคที่เราตั้งเป้าไว้ถือว่ามีความเชื่อมั่นต่อผลิตภัณฑ์และสมุนไพรไทยในระดับสูง ซึ่งสวนทางกับสินค้าความงามไทยที่ยังไม่มีการทำตลาดในพื้นที่นั้นมากนัก ดังนั้น การร่วมงาน Cosmoprof CBE ASEAN 2023 ครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ S&J จะได้แสดงศักยภาพของบริษัท ทั้งจากการมีนวัตกรรมที่ผสมผสานร่วมกับเทคโนโลยีที่เราคิดค้นขึ้นเอง จนสร้างความโดดเด่นและแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ทั่วไปในท้องตลาด และการเป็นโรงงานที่มีเครื่องหมายรับรองฮาลาล ซึ่งตอบโจทย์ต่อผู้บริโภคมุสลิมที่เป็นเป้าหมายหลักได้อย่างดี”
ปัจจุบัน S&J ถือเป็นหนึ่งในโรงงานผลิตเครื่องสำอางชั้นนำที่ตระหนักถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและสร้างประโยชน์อย่างสูงสุด จากกระบวนการผลิตที่เน้นประหยัดการใช้พลังงาน อาทิ การเลือกใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์แทนการใช้ไฟฟ้า ลดปริมาณการใช้คาร์บอนจากกระบวนการผลิต และลดการปลดปล่อยของเสียสู่สิ่งแวดล้อม ผสานกับการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านพลังงาน โดยลดการใช้พลังงานลงแต่เพิ่มกำลังการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“เป้าหมายสำคัญของ S&J คือการรักษาความผู้นำในอุตสาหกรรมความงามและเครื่องสำอาง รวมถึงเติบโตเพื่อมุ่งไปยังจุดที่สูงกว่าเดิมจากระดับ Top 3 ในประเทศไทย และ Top 5 ในตลาดอาเซียน ส่วนด้านความยั่งยืน เรากำลังมุ่งเน้นรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำอย่างจริงจัง ภายใต้นโยบาย Green initiative เพื่อจะเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิและปรับตัวให้ทันกับความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก”