แม้ภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาส 2 จะขยับตัวดีขึ้นหลังการเลือกตั้งผ่านพ้นไป แต่โดยภาพรวมเมื่อยังไม่มีรัฐบาลชุดใหม่มาบริหารประเทศ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมถึงการเดินหน้ามาตรการกระตุ้นกำลังซื้อต่างๆ ก็ชะลอออกไป ทำให้หลายฝ่ายวิตกว่าในครึ่งปีหลังกำลังซื้อของคนไทยจะไปในทิศทางใด
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า มองว่ากำลังซื้อของคนไทยในครึ่งปีหลังจะดีขึ้น เมื่อมีรัฐบาลใหม่ที่พร้อมดำเนินนโยบายและสานต่อมาตรการต่างๆ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการเข้าถึงกลไกของภาครัฐ จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต และยังเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยให้แข่งขันกับผู้ประกอบการทั่วโลกได้ หลังจากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา รวมทั้งผลักดันให้จีดีพีของไทยในไตรมาส 4 เป็นไปตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้
“หากมีรัฐบาลใหม่เกิดขึ้น และสามารถขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ได้ จะทำให้เกิดการจัดซื้อจัดจ้าง ขับเคลื่อนการลงทุน จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ในไตรมาส 4 ให้กลับมาคึกคัก เพราะเม็ดเงินภาครัฐที่ใส่เข้ามา จะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ เพราะหลังจากที่ภาคส่งออกไทยติดลบต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ไทยควรจะลดการนำเข้า โดยเฉพาะปัจจัยผลิต วัตถุดิบต่างๆ และหันมาพึ่งพิงภายในประเทศแทน ทำให้เกิดโลคัล อีโคโนมี่
อย่างไรก็ดีนอกจากการส่งเสริมผู้ประกอบการแล้วควรส่งเสริมแรงงาน เพื่อให้เกิดซัพพลายเชน และแวลูเชน ในประเทศ ส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญ เพื่อดึงให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามา ซึ่งปัจจุบันมีหลายประเทศ ที่เชื่อมั่นในศักยภาพไทยและเลือกไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญ เช่น ญี่ปุ่น เป็นต้น รวมทั้งไทยยังต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก
โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้าน ที่ให้ความเชื่อมั่นในสินค้าไทย สินค้า made in Thailand โดยเพิ่มศักยภาพและคุณภาพสินค้าให้ดียิ่งขึ้น เช่นเดียวกับจีน ที่วันนี้พบว่า จีนปรับยุทธศาสตร์ด้านการผลิตและส่งออก จากเดิมที่เป็น made in China เป็น Create in China, Design by China เป็นต้น ไม่ใช่เน้นการผลิตสินค้าจำนวนมาก ต้นทุนต่ำอีกต่อไป ถือเป็นการทรานฟอร์มด้านการผลิตครั้งสำคัญ โดยนำเรื่องของเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพิ่มศักยภาพ และปรับภาพลักษณ์สินค้า สู่ความเป็นพรีเมี่ยม ลักชัวรี
ขณะที่นางสาววรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ทิศทางธุรกิจค้าปลีกในปีนี้กลับมาเติบโตใกล้เคียงในระดับเดียวกับปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤติโควิด เห็นได้ชัดว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคกลับมาตั้งแต่ไตรมาส 1 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะกลุ่มคนไทยที่ยังคงกิจกรรมท่องเที่ยวในประเทศอยู่ แม้ว่าในไตรมาส 2 คนไทยจะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น
แต่ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคคนไทยที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงโควิด เมื่อกลับสู่ภาวะปกติ คนไทยก็ออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านเช่นเดิม ทั้งการรับประทานอาหารนอกบ้าน การออกกำลังกายที่ฟิตเนต ทำให้สินค้าแฟชั่น เสื้อผ้า เครื่องสำอางกลับมาขายดี
“เชื่อว่าภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตได้ดี จากทิศทางการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงซอฟท์เพาเวอร์ อย่างอาหารไทย ศิลปินไทยที่ทำชื่อเสียง เช่น “ลิซ่า” ที่ช่วยดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาได้เป็นอย่างดี สำหรับเดอะมอลล์กรุ๊ปในปีนี้คาดว่าธุรกิจจะเติบโตในระดับ 10-15% ซึ่งอยู่ในระดับไม่สูง
เพราะศูนย์หลักคือ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิและบางแค ซึ่งมีสัดส่วนยอดขายราว 50% ในเดอะมอลล์กรุ๊ปอยู่ในระหว่างการรีโนเวท โดยสาขาบางกะปิ จะเริ่มเปิดให้บริการเฟสแรกในเดือนส.ค. และเปิดครบทั้งหมดในปลายปี โดยจะมีแบรนด์ร้านค้าใหม่เพิ่มมามากกว่า 30 แบรนด์ ส่วนสาขาบางแค จะทยอยเปิดให้บริการในไตรมาส 4 และเปิดทั้งหมดในเดือนมี.ค. ปีหน้า”
ด้านนายธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กำลังซื้อช่วงครึ่งปีหลังเชื่อว่าน่าจะยังโอเค แต่ก็ยังมีความเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจไทยที่ภาคส่งออกยังคงติดลบ รวมทั้งเรื่องของกำลังซื้อภาพรวมโดยเฉพาะเรื่องของราคาสินค้าเกษตรที่จะต้องจับตามองด้วย ขณะที่เศรษฐกิจโลกเองก็ยังดูเหนื่อยๆ เพราะฉะนั้นก็ยังอาจจะมีปัจจัยที่ต้องติดตาม ซึ่งเราไม่ได้มองว่าง่ายแต่เชื่อว่ายังเติบโต
“ปัจจัยทางการเมืองก็อาจจะมีผลเกี่ยวเนื่องในเรื่องของการเบิกจ่ายของภาครัฐ รวมทั้งเรื่องของงบประมาณต่างๆ แต่ในแง่ของเศรษฐกิจเองอาจจะไม่มีปัญหาก็ยังคงดำเนินการได้ แต่ปัจจัยใหญ่ที่เป็นแม็คโครเช่นเรื่องของการส่งออก เรื่องของการท่องเที่ยวแม้ตอนนี้มีการเติบโตขึ้นกว่าปีที่แล้วก็ตามแต่ยังต้องจับตาว่าตัวเลขจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้หรือไม่”
ส่วนปัจจัยที่น่าเป็นห่วงคงเป็นปัจจัยภายนอก ทั้งเศรษฐกิจโลกเพราะกำลังซื้อของประเทศใหญ่ๆ อย่างจีนเองเริ่มสโลว์ดาวน์ จากที่คาดการณ์กันว่าจะเติบโตสูงกว่านี้ โดยGDP คาดการณ์อยู่ที่ 5% ถือว่าค่อนข้างต่ำสำหรับสแตนดาร์ดของจีน เพราะฉะนั้นถ้าประเทศใหญ่ๆอย่างจีนมีการสโลว์ดาวน์นักท่องเที่ยวจากจีนที่จะออกไปทั่วโลกก็จะน้อยลง
แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าน่าจะเป็นการดีเลย์มากกว่าและคงจะต้องใช้เวลาเล็กน้อยก่อนที่เศรษฐกิจในจีนจะเริ่มฟื้น ส่วนประเทศไทยเองตอนนี้มีการพึ่งพาการส่งออกและท่องเที่ยวเป็นหลักเพราะฉะนั้นหาก 2 ตัวนี้ไม่ดีก็เหมือนเครื่องบินมี 4 เครื่องยนต์แต่ทำงานแค่ domestic
นางสาวอิษฏพร ศรีสุขวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ-กลุ่มงาน Design & Product Development บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า กำลังซื้อดีขึ้นอย่างชัดเจนตั้งแต่ก่อนเดือนเมษายน เพราะเริ่มสัญญาณบวกตั้งแต่ต้นปีเพราะเมื่อโควิดดีขึ้นคนเริ่มซื้อของทั้งเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งบ้านเพื่อปรับปรุงบ้าน
ขณะที่ฝั่งผู้ประกอบการโดยเฉพาะโรงแรมที่ปิดร้างมานานเริ่มมีการรีโนเวท เพื่อเตรียมต้อนรับนักท่องเที่ยวทำให้กำลังซื้อสินค้าประเภทกระเบื้อง ไม้พื้นหรือเฟอร์นิเจอร์ที่จะต้องเปลี่ยนใหม่เติบโตมากขึ้น ในส่วนของโฮมโปรตอนนี้ก็ถือว่ารายได้กลับมาเกินกว่าช่วงก่อนโควิดแล้ว
ส่วนช่วงครึ่งปีหลังมองว่ากำลังซื้อในประเทศยังคงดีอยู่ เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาอาจจะเบรกไปในช่วงของการเลือกตั้งเพราะคนอาจจะยังกังวล ซึ่งคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังถ้ามีการจัดตั้งรัฐบาล เรียบร้อย ความมั่นใจต่างๆจะดีขึ้น อีกอย่างหนึ่งคือถ้าโควิดไม่เด้งกลับ กำลังซื้อและเศรษฐกิจก็น่าจะดีขึ้น หากมีรัฐบาลใหม่
หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,905 วันที่ 16 - 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2566