จับตา 11 กลุ่มตลาดสุขภาพโลก ปี 2566 มูลค่าพุ่ง 1.1 ล้านล้านดอลลาร์

15 พ.ย. 2566 | 06:50 น.
อัปเดตล่าสุด :15 พ.ย. 2566 | 06:52 น.

ตลาดสุขภาพตื่นตัว GWI มัดรวม 11 กลุ่มตลาดสุขภาพระดับโลกประจำปี 2023 มูลค่าการตลาดสูงแตะ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ คาดมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องตลอดจนถึงปี 2027

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สร้างแรงกระเพื่อมที่สั่นสะเทือนไปทั่วโลก ทั้งในเรื่องของสุขภาพ การใช้ชีวิต การทำงาน รายได้ รวมไปถึงกลุ่มธุรกิจและผู้ประกอบการด้วยเช่นเดียวกัน มูลค่าการตลาดในหลากหลายภาคส่วนได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง และต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งรวมไปถึง ตลาดสุขภาพ อีกหนึ่งตลาดที่ได้รับผลกระทบ แต่ก็มีการตื่นตัวอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน

จากรายงานการติดตามเศรษฐกิจด้านสุขภาพระดับโลก Global Wellness Economy Monitor ประจำปี 2023 ของ GWI ได้มีการสรุปข้อมูลตลาดด้านสุขภาพรวม 11 กลุ่ม และจัดอยู่ใน 3 กลุ่มหลักๆ ได้แก่

  • ภาคส่วนต่างๆ ที่เติบโตตลอดช่วงการแพร่ระบาด และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
  • ภาคส่วนที่เริ่มหดตัว แต่ฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดแล้ว
  • ภาคส่วนที่หดตัวอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่เกิดโรคระบาด และยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

หลังจากที่มีการแพร่ระบาดใหญ่ ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพมากขึ้น นั่นจึงทำให้ตลาดสุขภาพเป็นตลาดที่เริ่มมีผู้เล่นใหม่ผุดขึ้นมามากมาย ฐานเศรษฐกิจจะพามาเจาะลึกลงไปในแต่ละกลุ่ม ว่ามีตลาดสุขภาพหมวดหมู่ไหนบ้าง

จับตา 11 กลุ่มตลาดสุขภาพโลก ปี 2566 มูลค่าพุ่ง 1.1 ล้านล้านดอลลาร์

จับตา 11 กลุ่มตลาดสุขภาพระดับโลกปี 2023 คาดมูลค่าตลาดพุ่งสูงลิ่ว

ภาคส่วนต่างๆ ที่เติบโตตลอดช่วงการแพร่ระบาด และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

1.อสังหาริมทรัพย์ที่ส่งเสริมสุขภาพ : มูลค่าตลาด 398 พันล้านดอลลาร์ มีการเติบโต 20.5% ต่อปี และในปี 2563-2565 โตอยู่ที่ 177% ของระดับตลาดปี 2562 คาดการณ์อัตราการเติบโตประจำปี 2565-2570 จะเพิ่มขึ้น +17.4% ไปสู่ 887.5 พันล้านดอลลาร์ 

อสังหาริมทรัพย์ที่ส่งเสริมสุขภาพ เป็นภาคส่วนที่เติบโตเร็วที่สุดในเศรษฐกิจเพื่อสุขภาพ นับตั้งแต่ก่อนเกิดโรคระบาด ซึ่งแซงหน้าการคาดการณ์และแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ และคาดว่าจะเป็นผู้นำการเติบโตอันดับ 1 จนถึงปี 2570 อันสืบเนื่องมาจากมีการระบาดใหญ่เป็นตัวเร่งให้เกิดความเข้าใจที่เพิ่มมากขึ้นในหมู่ผู้บริโภคและอุตสาหกรรมการก่อสร้าง เกี่ยวกับบทบาทที่สำคัญของสภาพแวดล้อมภายนอกที่มีผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต รวมถึงการมีความเป็นอยู่ที่ดี

2.สุขะภาวะทางจิตที่ดี : มูลค่าตลาด 180.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 12.5% ​​ต่อปี และในปี 2563-2565 โตอยู่ที่ 139% ของระดับตลาดปี 2562 คาดการณ์อัตราการเติบโตประจำปี 2565-2570 จะเพิ่มขึ้น +12.8% ไปสู่ 330 พันล้านดอลลาร์ 

หมวดหมู่สุขภาวะทางจิตที่ดี ประกอบไปด้วย Senses, Spaces & Sleep (77.3 พันล้านดอลลาร์) - สินค้าและบริการที่ช่วยลดผลกระทบจากสิ่งเร้าด้านสิ่งแวดล้อม ที่อาจมีผลต่ออารมณ์ ระดับความเครียด และคุณภาพการนอนหลับ, Brain-boosting nutraceuticals & botanicals (60.7 พันล้านดอลลาร์) - โภชนเภสัชและพฤกษศาสตร์ที่ส่งเสริมการทำงานของสมอง ช่วยฟื้นฟูสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดี, Self-improvement (38.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) - กิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือและพัฒนาตนเอง เพื่อต่อสู้กับความเหงาและความโดดเดี่ยว ตลอดจนส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการรับรู้และการฝึกสมอง และ Meditation and mindfulness (4.3 พันล้านดอลลาร์) - การทำสมาธิและการมีสติถือเป็นแนวทางที่เกี่ยวข้องกับ "สุขภาพจิต" มากที่สุด ซึ่งจะครอบคลุมการฝึกสมาธิทุกรูปแบบ

ทั้งหมดนี้มีการเติบโตอย่างโดดเด่นนับตั้งแต่ปี 2562 เนื่องจากผู้บริโภคต่างเสาะหาผลิตภัณฑ์ บริการ และกิจกรรมต่างๆ เพื่อช่วยในการรับมือกับความเครียดต่างๆ ที่เกิดขึ้น ด้านผลิตภัณฑ์และบริการทุกประเภทก็มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อาทิ วิธีนอนหลับ ผลิตภัณฑ์และบริการ วิตามิน อาหารเสริม และอาหารหรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ที่เน้นบำรุงสมองและพลังงาน (เติบโต 30% ตั้งแต่ปี 2562) และกัญชา (เติบโต 142% ตั้งแต่ปี 2019) รวมถึงกิจกรรมพัฒนาตนเอง การฝึกสอน ผลิตภัณฑ์และบริการสำหรับการทำสมาธิและควบคุมสติทุกประเภท

3.สาธารณสุข การป้องกัน และการแพทย์เฉพาะบุคคล : มูลค่าตลาด 6.11 แสนล้านดอลลาร์ มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 6.6% ต่อปี และในปี 2563-2565 โตอยู่ที่ 171% ของระดับตลาดในปี 2019 คาดการณ์อัตราการเติบโตประจำปี 2565-2570 จะเพิ่มขึ้น +1.6% ไปสู่ 661 พันล้านดอลลาร์ 

ในภาคส่วนนี้เติบโต 50% ในปี 2020 เนื่องจากรัฐบาลและระบบการดูแลสุขภาพเร่งการใช้จ่ายด้านสาธารณสุขและการป้องกันอย่างมีนัยสำคัญในช่วงการแพร่ระบาด การใช้จ่ายในด้านสาธารณสุขและการป้องกันของภาครัฐ เอกชน และทั่วโลกจึงเพิ่มขึ้น โดยคิดเป็นส่วนแบ่งของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพโดยรวม (จาก 3.9% ในปี 2562 เป็น 5.8% ในปี 2564 และ 2565) ทั้งนี้ ยังคงสูงกว่าระดับก่อนเกิดโรคระบาดอยู่มาก

4.การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ โภชนาการ และการควบคุมน้ำหนัก : มูลค่าตลาด 1 ล้านล้านดอลลาร์ เติบโตเพิ่มขึ้น 6.7% ต่อปี และในปี 2563-2565 โตอยู่ที่ 118% ของระดับตลาดในปี 2019 คาดการณ์อัตราการเติบโตประจำปี 2565-2570 จะเพิ่มขึ้น +6.8% ไปสู่ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ 

หมวดหมู่นี้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงการแพร่ระบาด เนื่องจากผู้บริโภคมองหาอาหาร เครื่องดื่ม วิตามิน และอาหารเสริมที่หลากหลาย ประกอบกับมีความเชื่อว่าจะเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยป้องกันโรคได้

ทั้งนี้ GWI ได้เตือนว่า การเติบโตในภาคส่วนนี้ไม่ควรตีความว่าเป็น "ผู้บริโภครับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ" ในระหว่างการระบาดใหญ่ เนื่องจากมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่เพียงพอ และไม่มีความเห็นพ้องต้องกันว่าผลิตภัณฑ์บางส่วนเหล่านี้ทำให้มีสุขภาพที่ดีแค่ไหน นอกจากนี้ การเติบโตในบางประเทศยังสะท้อนถึงอัตราเงินเฟ้อของราคาอาหาร มากกว่าการซื้อของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นจริง

จับตา 11 กลุ่มตลาดสุขภาพโลก ปี 2566 มูลค่าพุ่ง 1.1 ล้านล้านดอลลาร์

ภาคส่วนที่เริ่มหดตัว แต่ฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดแล้ว

5.การออกกำลังกาย : มูลค่าตลาด 9.76 แสนล้านดอลลาร์ เติบโตเพิ่มขึ้น 14.3% ต่อปี และในปี 2563-2565 โตอยู่ที่ 111% ของระดับตลาดในปี 2019 คาดการณ์อัตราการเติบโตประจำปี 2565-2570 จะเพิ่มขึ้น +6.7% ไปสู่ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์

ภาพรวมตลาดกิจกรรมการออกกำลังกายทั้ง 6 ภาคส่วนลดลงในปีแรกของการแพร่ระบาด แต่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในช่วงปี 2563-2565 เนื่องจากผู้คนกลับมาออกกำลังกายตามปกติ โดย 6 ภาคส่วนนี้ ได้แก่

1.ฟิตเนส (ปัจจุบันมีมูลค่าตลาด 121 พันล้านดอลลาร์) เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเชิงลบมากที่สุดและยังไม่กลับสู่ระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาด เนื่องจากปัจจัยหลายประการ 
2.การสร้างสมดุลร่างกาย อาทิ โยคะ หรือ พิลาทิส (ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 39 พันล้านดอลลาร์) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ และขึ้นมาเป็นผู้นำที่มีการเติบโตอันดับ 1 เทียบกับระดับก่อนเกิดโรคระบาด รวมถึงมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 16.8% จากปี 2019 ถึง 2022
3.การใช้จ่ายของผู้บริโภคในด้านกีฬาและสันทนาการ (ปัจจุบันมีมูลค่าตลาด 265 พันล้านดอลลาร์) ก็เติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน แม้ว่าอัตราการเข้าร่วมจะยังต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโรคระบาดก็ตาม 
4.เทคโนโลยีด้านฟิตเนสที่มีครอบคลุมทุกอย่าง ตั้งแต่อุปกรณ์สวมใส่ไปจนถึงแพลตฟอร์มการออกกำลังกายแบบดิจิทัลนั้น ได้รับความนิยมในปี 2020 และเติบโตได้อย่างน่าประทับใจถึง 15% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2020 ถึง 2022 และกลายเป็นตลาดที่มีมูลค่า 64 พันล้านดอลลาร์ 
5.ตลาดเครื่องแต่งกายและรองเท้า (372 พันล้านดอลลาร์) และ 6.อุปกรณ์ (137.5 พันล้านดอลลาร์) ก็เติบโตอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน จนในขณะนี้เติบโตได้เกินระดับก่อนเกิดโรคระบาดไปแล้ว

6.การแพทย์แผนโบราณและการแพทย์เสริม (T&CM) : มูลค่าตลาด 5.19 แสนล้านดอลลาร์ เติบโตเพิ่มขึ้น 7.4% ต่อปี และในปี 2563-2565 โตอยู่ที่ 107% ของระดับตลาดในปี 2019 คาดการณ์อัตราการเติบโตประจำปี 2565-2570 จะเพิ่มขึ้น +8.2% ไปสู่ 768 พันล้านดอลลาร์

ภาคการแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์เสริมหดตัวในช่วงแรกในปี 2020 เนื่องจากการปิดตัวลงของธุรกิจ ซึ่งขัดขวางการเข้าใช้บริการ รวมถึงการผลิตและการขายผลิตภัณฑ์ แต่ต่อมาตลาดก็ฟื้นตัวขึ้นในปี 2564-2565 ความต้องการด้านการแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์เสริมมีเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมองหาวิธีเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรค และรับมือกับอาการเรื้อรังที่มากขึ้น

โดยหมวดหมู่นี้ประกอบด้วย 2 ส่วนย่อย คือ 1.ผู้ให้บริการและผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์เสริม (ปัจจุบันมีมูลค่าตลาด 278 พันล้านดอลลาร์) และ 2.ยาและผลิตภัณฑ์การแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์เสริม (ตลาดมูลค่า 240 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งการเติบโตของทั้ง 2 ส่วนได้เกินระดับตลาดก่อนที่จะเกิดโรคระบาดไปแล้ว 

ในส่วนของตลาดกัญชาและ CBD เองก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากกฎระเบียบที่ผ่อนคลายในหลายประเทศได้ช่วยกระตุ้นการเติบโตของภาคส่วนนี้โดยเฉพาะ ทำให้อัตราการเติบโตทั่วโลกประจำปีอยู่ที่ 9.1% (พ.ศ. 2563-2565) ของกลุ่มย่อยยาและผลิตภัณฑ์ T&CM ซึ่งสูงกว่าที่ควรจะเป็นประมาณ 25% 

ทั้งนี้ หากไม่รวมยอดขายกัญชา และ CBD ตัวเลขดังกล่าวรวมเฉพาะตลาดกัญชาและอนุพันธ์กัญชาที่ถูกกฎหมายและจำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์เท่านั้น ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ในหมวดนี้จะคาบเกี่ยวกับการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ โภชนาการ การควบคุมน้ำหนัก และภาคส่วนที่เกี่ยวกับด้านสุขภาพจิต โดยการทับซ้อนกันนี้คิดเป็นสัดส่วนในขนาดโดยรวมของอุตสาหกรรมด้านสุขภาพทั่วโลก

7.Personal Care และ Beauty : มูลค่าตลาด 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ เติบโตเพิ่มขึ้น 8.5% ต่อปี และในปี 2563-2565 โตอยู่ที่ 102% ของระดับตลาดในปี 2019 คาดการณ์อัตราการเติบโตประจำปี 2565-2570 จะเพิ่มขึ้น +5.7% ไปสู่ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์

ตลาดความงามมีการหดตัวในปี 2020 เนื่องจากการเกิดโรคระบาดทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคโดยรวมลดลง แต่ก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วในปี 2564-2565 ซึ่งในขณะนี้มีการเติบโตที่มากขึ้นกว่าก่อนเกิดโรคระบาดเล็กน้อย โดยมีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ การฟื้นตัวและการเติบโตของหมวดหมู่ Personal Care และ Beauty ระหว่างปี 2020 ถึง 2022 (8.5% ต่อปี) สะท้อนให้เห็นถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคโดยรวมที่โตขึ้นในขณะนี้ ( 8.6% ต่อปี)

จับตา 11 กลุ่มตลาดสุขภาพโลก ปี 2566 มูลค่าพุ่ง 1.1 ล้านล้านดอลลาร์

ภาคส่วนที่หดตัวอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่เกิดโรคระบาด และยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

8.สุขภาวะในที่ทำงาน : มูลค่าตลาด 51 พันล้านดอลลาร์ มีการเติบโตปีละ 2.8% และในปี 2563-2565 โตอยู่ที่ 97% ของระดับตลาดในปี 2019 คาดการณ์อัตราการเติบโตประจำปี 2565-2570 จะเพิ่มขึ้น +2.9% ไปสู่ 58.4 พันล้านดอลลาร์

ภาคส่วนนี้หดตัวในปี 2020 เนื่องจากกิจกรรมเพื่อสุขภาพในที่ทำงานแบบดั้งเดิมที่มีการรวมตัวของผู้คนจำนวนมากถูกจำกัดในช่วงที่เกิดโรคระบาด และท่ามกลางการปิดตัวของธุรกิจและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นำไปสู่การทำงานจากระยะไกล(Work From Home) แม้ภาคส่วนนี้จะดีดตัวขึ้นในปี 2563-2565 แต่ก็ยังคงไม่สามารถกลับไปสู่ระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดได้ รวมถึงมีการแบ่งในส่วนของค่าจ้างของแรงงานที่ทำงานประจำ เทียบกับงานพาร์ทไทม์ งานสัญญาจ้าง และงานพิเศษ เนื่องจากโครงสร้างของแรงงานทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลง 

นายจ้างมีการหันมาใช้แนวทางแบบองค์รวมมากขึ้น เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน ส่งผลให้การใช้จ่ายด้านสุขภาพของพนักงานยากต่อการประเมินในเชิงปริมาณ ทั้งนี้ GWI ประมาณการว่าพนักงานประมาณ 339 ล้านคนทั่วโลกได้รับประโยชน์จากโปรแกรมสุขภาพที่ดีในสถานที่ทำงานบางรูปแบบ ซึ่งคิดเป็นเพียง 10.1% ของพนักงานที่มีงานทำทั้งหมดในปี 2565

9. การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ : มูลค่าตลาด 651 พันล้านดอลลาร์ มีการเติบโต 36% ต่อปี และในปี 2563-2565 โตอยู่ที่ 90% ของระดับปี 2019 คาดการณ์อัตราการเติบโตประจำปี 2565-2570 จะเพิ่มขึ้น +16.6% ไปสู่ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์

ตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมีอัตราการเติบโตลดลงระหว่างปี 2562 ถึง 2563 (720 พันล้านดอลลาร์ถึง 351 พันล้านดอลลาร์) แต่มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ 36% ต่อปี และมีการการเติบโตของทริปท่องเที่ยวเชิงสุขภาพต่อปี 30% ตั้งแต่ปี 2563 ถึง 2565 ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตของทริปท่องเที่ยวโดยรวม และมีการใช้จ่ายอยู่ที่ 23.8% และ 28.4% บรรดานักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมีการเดินทางทั้งในประเทศและต่างประเทศถึง 819.4 ล้านครั้งในปี 2565 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากปี 2563 (483 ล้าน) และปี 2564 (608 ล้าน) 

โดยทริปเที่ยวเชิงสุขภาพคิดเป็น 7.8% ของทริปท่องเที่ยวทั้งหมด แต่คิดเป็น 18.7% ของรายจ่ายด้านการท่องเที่ยวทั้งหมดในปี 2022 (หรือเกือบ 1 ใน 5 ของ “เงินค่าเดินทาง”) คาดว่าตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจะเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าในช่วงปี 2565 ถึง 2570 เนื่องจากมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2565 (651 พันล้านดอลลาร์) ถึงปี 2566 (868 พันล้านดอลลาร์) ตลอดจนถึงปี 2567 (1 ล้านล้านดอลลาร์) ในขณะที่ตลาดยังคงฟื้นตัวอย่างก้าวกระโดด ก็มีแนวโน้มที่จะคงที่อยู่ในเส้นการเติบโตที่มั่นคงแข็งแกร่ง แต่ไม่ได้ร้อนแรงแล้ว

จับตา 11 กลุ่มตลาดสุขภาพโลก ปี 2566 มูลค่าพุ่ง 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ 10. สปา (Spa) : มูลค่าตลาด 104.5 พันล้านดอลลาร์ มีการเติบโต 22% ต่อปี และในปี 2563-2565 โตอยู่ที่ 92% ของระดับตลาดปี 2019 คาดการณ์อัตราการเติบโตประจำปี 2565-2570 จะเพิ่มขึ้น +8.3% ไปสู่ 156 พันล้านดอลลาร์

สปา เป็นตลาดด้านสุขภาพที่คนมีการสัมผัสร่างกายกันสูงที่สุด และได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงปี 2562 ถึง 2563 (ตลาดลดลงจาก 114 พันล้านดอลลาร์เหลือ 70 พันล้านดอลลาร์) แต่ด้วยความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังการแพร่ระบาด ทำให้อุตสาหกรรมสปาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นตลาดที่มีมูลค่า 104.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งในระดับภูมิภาค ตลาดสปาในอเมริกาเหนือและตะวันออกกลาง-แอฟริกาเหนือถือเป็นผู้นำด้านการเติบโตอันดับ 1 โดยมีการเติบโตของรายได้ต่อปีประมาณ 50% ตั้งแต่ปี 2563 ถึง 2565 ปัจจุบันโตขึ้นกว่าตอนก่อนเกิดการแพร่ระบาดไปแล้ว ภูมิภาคอื่นๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 90% หรือมากกว่าอัตราสูงสุดที่มีในปี 2019 

ปัจจุบันมีสปากว่า 181,175 แห่งที่เปิดดำเนินการทั่วโลก สปาของโรงแรมและรีสอร์ทในขณะนี้มีรายได้มากที่สุด (49 พันล้านดอลลาร์) และมีจำนวนสถานประกอบการที่เยอะที่สุด (80,423 แห่ง) ในสปาทุกประเภท ในส่วนของรายรับของสปาโรงแรมก็เติบโตเร็วที่สุด (29% ต่อปี) ในช่วงปี 2020-2022 อุตสาหกรรมสปามีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และมีบริการที่นอกเหนือจากการนวดและการดูแลผิวหน้า

โดยขณะนี้ได้เพิ่มรูปแบบบริการด้านสุขภาพและมีการสร้างแหล่งรายได้ใหม่ๆ เช่น การอาบคลื่นเสียง (Sound baths), ห้องออกซิเจนความกดบรรยากาศสูง, การบำบัดด้วยความเย็นจัด, การรักษาด้วยแสงอินฟราเรด, การฝังเข็ม และการบำบัดด้วยพลังงานของญี่ปุ่น (Reiki)

11.บ่อน้ำพุร้อน / บ่อน้ำแร่ : มูลค่าตลาด 46.3 พันล้านดอลลาร์ มีการเติบโตปีละ 7.7% และในปี 2563-2565 โตอยู่ที่ 71% ของระดับตลาดปี 2019 คาดการณ์อัตราการเติบโตประจำปี 2565-2570 จะเพิ่มขึ้น +14.3% ไปสู่ 90.5 พันล้านดอลลาร์

ภาคบ่อน้ำพุร้อน ตั้งแต่ปี 2562 ถึงปี 2563 นั้น มีรายได้ลดลงจาก 66 พันล้านดอลลาร์เหลือ 40 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการชะลอตัวที่ยืดเยื้อในบางประเทศของเอเชียและยุโรป แต่ภาพรวมของอุตสาหกรรมไม่ได้มืดมนเท่าไรนัก ถ้าจีน ญี่ปุ่น และยุโรป ไม่ได้ถูกนับรวมอยู่ในแหล่งข้อมูล จะมีเรื่องราวการเติบโตที่แตกต่างออกไปมากๆ โดยภาคส่วนนี้มีการเติบโตไปทั่วทั้งอเมริกาเหนือ เอเชียแปซิฟิก และละตินอเมริกาอย่างแข็งแกร่งถึง 21% ต่อปี นับตั้งแต่ปี 2563 โดย GWI คาดการณ์ว่า ภายในปี 2567 ตลาดทั่วโลกโดยรวมจะสามารถเติบโตสูงขึ้นกว่าช่วงก่อนที่จะเกิดโรคระบาด ซึ่งปัจจุบันมีบ่อน้ำพุร้อน / บ่อน้ำแร่อยู่ 31,290 แห่ง และมีสถานประกอบการที่ดำเนินงานอยู่ใน 130 ประเทศ

ทั้งนี้ GWI เผยเกี่ยวกับตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สปา และบ่อน้ำพุร้อน / บ่อน้ำแร่ ไว้ว่า เนื่องจากข้อจำกัดด้านการเดินทางในวงกว้าง ประกอบกับมีการปิดตัวลงของธุรกิจ ทำให้ภาคส่วนเหล่านี้ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการแพร่ระบาด แม้จะมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2564-2565 แต่ก็ถือว่ายังไม่ฟื้นตัวเท่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาดมากนัก ซึ่งมีปัจจัยสำคัญคือการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดการท่องเที่ยวทั่วโลก

ดูจากในปี 2022 มีการเดินทางระหว่างประเทศยังคงอยู่ที่ 62% ของช่วงก่อนการแพร่ระบาด รวมถึงมีการเดินทางภายในประเทศอยู่ที่ 73% (ข้อมูลจาก Euromonitor - บริษัทสำรวจข้อมูลทางการตลาดระดับโลก) ในส่วนของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้น มีการฟื้นตัวล่าช้าเป็นพิเศษ เนื่องจากข้อจำกัดด้านโรคระบาดที่ยืดเยื้อและการปิดพรมแดนในประเทศจีน ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวชาวจีนลดน้อยลงทั่วทั้งภูมิภาค อีกทั้งยังมีเรื่องของสภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแอในประเทศจีนและญี่ปุ่น ค่าเงินอ่อนค่า และปัจจัยต่างๆ อีกมากมาย

 

แหล่งที่มา : Global Wellness Institute , Global Wellness Summit