นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD ผู้นำธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของ SCGD ไตรมาส 4 ประจำปี 2566 มีรายได้จากการขาย 6,802 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 179 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5 และ 26 จากไตรมาสก่อนตามลำดับ สอดคล้องกับความต้องการกระเบื้องเซรามิกในประเทศไทยที่ยังทรงตัว รวมถึงยอดขายในภูมิภาคอาเซียนที่ปรับตัวลดลงจากปีก่อนหน้านี้ จากสถานการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศเวียดนาม และกำลังซื้อที่หดตัวลงในประเทศฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย แต่เชื่อว่าสถานการณ์ตลาดเซรามิกจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ตามภาพรวมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมกระเบื้องเซรามิกในภูมิภาคอาเซียนที่มีสัญญาณทยอยฟื้นตัวในแต่ละประเทศ
โดยผลประกอบการปี 2566 หากไม่รวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้างและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง บริษัทจะมีรายได้จากการขายรวม 28,312 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไร 817 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 30 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกำลังซื้อในตลาดต่างประเทศ รวมไปถึงความผันผวนของตลาดอสังหาฯ ในเวียดนาม ประกอบกับราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีแรก 2566 แต่ยังมีปัจจัยบวกที่ส่งผลดีต่อต้นทุนการผลิตคือ ราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลงตั้งแต่ประมาณกลางปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังสามารถคงราคาขายเฉลี่ยของกระเบื้องและสุขภัณฑ์ในระดับที่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนด้วย โดยรายได้หลักจากการขายปี 2566 มาจากยอดขายในประเทศไทย ทั้งธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและธุรกิจสุขภัณฑ์ จากสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยที่เริ่มฟื้นตัว แนวโน้มนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของภาครัฐ
นายนำพล กล่าวว่า SCGD มีจุดแข็งเรื่องแบรนด์สินค้าที่ได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็น COTTO, PRIME, MARIWASA และ KIA ซึ่งเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ทำให้เป็นผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน ด้วยส่วนแบ่งตลาดกระเบื้องเซรามิกเป็นอันดับ 1 ทั้งในไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ และครองส่วนแบ่งตลาดสุขภัณฑ์เป็นอันดับ 1 ในไทย ประกอบกับมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั้งภูมิภาค
ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายผู้จัดจำหน่ายกว่า 800 ราย ร้านค้าเครือข่ายรวมทั้งสิ้นกว่า 10,000 ร้าน ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ช่องทางจัดจำหน่ายของบริษัทเองและช่องทางออนไลน์ โดยมีตลาดส่งออกกว่า 57 ประเทศ ทำให้ยังคงพร้อมเติบโตและคงสถานะความเป็นผู้นำธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนได้ในทุกสถานการณ์ตลาด
ทั้งนี้ ยังได้ดำเนินการเสริมศักยภาพผู้จัดจำหน่ายควบคู่กันไป โดยมุ่งเน้นให้มีสินค้าที่หลากหลายที่เกี่ยวกับการตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์อย่างครบวงจร เช่น Prime Group ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจกระเบื้องปูพื้นและบุผนังในประเทศเวียดนาม ร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจ บริษัท จระเข้ เวียดนาม จำกัด วางจำหน่ายสินค้านวัตกรรมกลุ่มสินค้ากาวซีเมนต์และกาวยาแนว ภายใต้แบรนด์จระเข้ ผ่านเครือข่ายร้านผู้แทนจำหน่ายของ Prime Group ที่แข็งแกร่งกว่า 120 ราย
ล่าสุด แบรนด์ COTTO จับมือ HANSGROHE และ AXOR ผู้นำนวัตกรรมด้านสุขภัณฑ์ระดับโลกสัญชาติเยอรมัน เตรียมพลิกโฉมตลาดสุขภัณฑ์ Luxury ในไทย และขยายต่อยอดไปในอาเซียนด้วย เป็นการดำเนินการตามแผนงานที่จะขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ (Bathroom) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจหลักเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียน
นายนำพล กล่าวว่า บริษัทยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดทั้งไทยและอาเซียนแม้ว่าจะต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัว จึงเป็นโอกาสที่ต้องเร่งลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรและเพิ่มกำลังการผลิต เพื่อเตรียมไว้สำหรับรองรับความต้องการในอนาคต ตามกลยุทธ์ที่จะต่อยอดความแข็งแกร่งของธุรกิจตกแต่งพื้นผิวสู่ผู้นำในอาเซียน โดยมีเวียดนามเป็นฐานการผลิตกระเบื้องปูพื้นและบุผนังที่มีศักยภาพด้านการบริหารต้นทุนและการส่งออกในภูมิภาคอาเซียนเช่นเดียวกับประเทศไทย
สำหรับการลงทุนในเวียดนามมีเป้าหมายขยายตลาดระดับกลาง-บน จากโครงการเพิ่มกำลังการผลิตสินค้ากลุ่ม “กระเบื้องเซรามิกพอร์ซเลน” และกระเบื้องขนาดใหญ่ อีก 1.38 ล้านตารางเมตรต่อปี ซึ่งเป็นสินค้าที่มีราคาขายเฉลี่ยสูงกว่ากระเบื้องทั่วไปและกำลังได้รับความนิยม ใช้งบลงทุนรวม 142 ล้านบาท ในการปรับปรุงเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่โรงงานในภาคกลางของประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ SCGD ยังได้รับอนุมัติโครงการลงทุนมูลค่ากว่า 693 ล้านบาท เพื่อทดแทนและเพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องพอร์ซเลนเป็น 9.1 ล้านตารางเมตรต่อปี ในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศเวียดนาม เพื่อรุกขยายตลาดและตอบสนองความต้องการใช้สินค้ากระเบื้องพอร์ซเลนที่เพิ่มขึ้น คาดว่าจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ในช่วงปลายปี 2567
ด้านโครงการลงทุนในประเทศไทยที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2567 ได้แก่ การลงทุนเพิ่มสายการผลิต “กระเบื้องไวนิล SPC” ด้วยเงินลงทุน 138 ล้านบาท มีกำลังการผลิต 1.8 ล้านตารางเมตรต่อปี คาดว่าจะสามารถป้อนสินค้าเข้าสู่ตลาดในประเทศไทยได้ในช่วงกลางปี 2567 นี้ ทั้งนี้ ตลาด SPC/LVT เป็นตลาดที่ยังมีการเติบโตค่อนข้างสูงในประเทศไทย เวียดนามฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 8,000 ล้านบาทในปี 2565 และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 10,000 ล้านบาทในปี 2569 (อ้างอิงจากข้อมูล Euromonitor)
“บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นและให้ความสำคัญในโครงการลงทุนเพื่อช่วยลดต้นทุนด้านพลังงาน นอกจากจะเป็นการดำเนินการตามแนวทาง ESG แล้ว ยังช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและความสามารถในการสร้างรายได้ โดยในปีที่ผ่านมาได้ดำเนินโครงการแล้วเสร็จ อาทิ โครงการลงทุนปรับปรุงสายการผลิตกระเบื้องขนาดใหญ่ซึ่งเริ่มเดินสายการผลิตตั้งแต่กลางปี 2566 ตั้งเป้าช่วยลดต้นทุนกว่า 40-50 ล้านบาทต่อปี โครงการติดตั้งโซลาร์เซลล์เพิ่มเติมที่ประเทศไทยและเวียดนามประมาณ 14.3 MW คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนเพิ่มเติมได้กว่า 50 ล้านบาทต่อปี และปี 2567 ยังคงมีแผนลงทุนและการดำเนินงานลดต้นทุนด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะดำเนินการติดตั้ง Hot Air Generator ต่อจากปีก่อนหน้าที่โรงงาน 3 แห่งในประเทศไทย หากแล้วเสร็จทั้ง 3 โครงการจะช่วยประหยัดต้นทุนพลังงานได้ประมาณ 60 -70 ล้านบาทต่อปี”