นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 20 ธันวาคม 2566 ในหมวดธุรกิจวัสดุก่อสร้าง โดยใช้ตัวย่อ “SCGD” ในการซื้อขายหลักทรัพย์ หลังจากที่นักลงทุนทุกกลุ่มให้การตอบรับอย่างดีในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดจากผู้ถือหุ้นของ บริษัทเอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO ที่ราคาหุ้นละ 2.40 บาท ด้วยวิธีแลกหุ้นกับหุ้น IPO ของ SCGD เพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจให้ SCGD เป็นบริษัทแกนหลักของเอสซีจีในการดำเนินธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ รวมถึงเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทน COTTO โดยมีการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SCGD รวมจำนวนทั้งสิ้น 439,100,000 หุ้น ที่ราคา 11.50 บาทต่อหุ้น
ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน บริษัทฯ มีความมั่นใจในศักยภาพการเติบโตจากการเป็น “ผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน” และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยวางแผนขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนที่มีโอกาสเพิ่มยอดขายได้อีกมาก จากแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจใน 4 ประเทศหลัก ได้แก่ ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ที่มีประชากรรวมกันถึง 560 ล้านคน เนื่องจากการขยายตัวของเมือง รายได้ชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ได้แก่ ต้องการสินค้ากลุ่มพรีเมียม, สะดวกสบาย และมีฟังก์ชันที่ตอบสนองต่อความต้องการในการใช้งาน ต้องการสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีสินค้ารักษ์โลกและ ECO Collection ตอบสนองความต้องการของลูกค้า เช่น สุขภัณฑ์ และก๊อกประหยัดน้ำ เป็นต้น และต้องการสินค้ากลุ่ม Smart Products อาทิ สุขภัณฑ์อัจฉริยะ, ก๊อกน้ำไร้สัมผัส ฯลฯ
บริษัทฯ จึงวางกลยุทธ์การเติบโตเพื่อขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่
ทั้งนี้ บริษัทฯ วางแผนขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในระหว่างปี 2566 – 2571 เพื่อสร้างการเติบโตและเพิ่มความแข็งแกร่งแก่การดำเนินธุรกิจ ทั้งการลงทุนในโครงการลดต้นทุนด้านพลังงาน และปรับปรุงเครื่องจักรในโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เช่น โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อใช้ในโรงงาน, โครงการใช้ชีวมวลเพื่อผลิตลมร้อนในกระบวนการผลิตผงดิน เป็นต้น และการลงทุนสายการผลิตใหม่และขยายร้านค้า เช่น การลงทุนโรงงานกระเบื้องไวนิล SPC ที่สระบุรี, เพิ่มร้านค้า COTTO LiFE, คลังเซรามิก ในไทย ร้าน CTM ในฟิลิปปินส์ เป็นต้น
ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2565 มีรายได้จากการขาย 30,254 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.6% จากปีก่อน และกำไรสุทธิ 1,320.1 ล้านบาท ลดลง 5.8% จากปีก่อน (หลังปรับปรุงรายการที่ไม่เกิดขึ้นประจำ) ส่วนผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้จากการขาย 21,522 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 760 ล้านบาท (หลังปรับปรุงรายการที่ไม่เกิดขึ้นประจำ) ชะลอตัวเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากธุรกิจตกแต่งพื้นผิวในเวียดนามมีรายได้ลดลงจากผลกระทบของวิกฤติในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ สามารถเพิ่มราคาขายและปริมาณการขายเฉลี่ยของกระเบื้องและสุขภัณฑ์จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้จากการขายในไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 7,186 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 280 ล้านบาท (หลังปรับปรุงรายการที่ไม่เกิดขึ้นประจำ) เพิ่มขึ้น 1.1% และ 22.9% จากไตรมาสก่อนหน้าตามลำดับ สะท้อนถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วและตลาดมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในปีหน้า รวมราคาก๊าซธรรมชาติที่ทยอยลดลงเมื่อเทียบกับช่วงต้นปีส่งผลดีต่อต้นทุนการผลิตของบริษัทฯ
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO ของ SCGD นับว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในปีนี้ และมีมูลค่าหลักทรัพย์ (Market cap) ณ ราคา IPO ที่ 18,975 ล้านบาท โดยการเสนอขายหุ้น IPO ของ SCGD ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักลงทุนทุกกลุ่ม และผู้ถือหุ้น COTTO ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหุ้นเพื่อรองรับการปรับโครงสร้างและยกระดับเป็นผู้ถือหุ้นใน SCGD ที่มีศักยภาพเติบโตในภูมิภาคอาเซียน ตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นในพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งและกลยุทธ์การเติบโตจากการขยายธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์พื้นผิวในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะ 4 ประเทศหลัก ได้แก่ ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ที่มีศักยภาพสูง