นายสุวิช รุ่งวัฒนไพบูลย์ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) เปิดเผยว่า สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย พร้อมจัดงาน "สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 52 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 22" ใหญ่สุดในรอบ 52 ปี ระหว่างวันที่ 28 มีนาคม 2567 ถึง 8 เมษายน 2567 ที่ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ บนพื้นที่ 20,000 ตารางเมตร ภายใต้แนวคิด "Booklympics" ต้อนรับมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีผู้ร่วมงานมากกว่า 1.3-1.5 ล้านคน มีอัตราการเติบโตจากการจัดงานครั้งล่าสุดประมาณ 10% ส่วนใหญ่มาจากการขายแบบ B2C (Business-to-Customer)
โดยกำลังซื้อและความสนใจของนักอ่านเริ่มเพิ่มขึ้นด้วยสัดส่วนของคนรุ่นใหม่ตั้งแต่อายุ 12-35 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด และกำลังซื้อจากช่วงอายุ 12-25 จะมีมากที่สุด ถัดมาเป็นช่วงอายุ 20-35 ปี หนังสือที่ได้รับความนิยมที่สุดคือการ์ตูนและนวนิยาย เฉพาะหนังสือนิยายมีสัดส่วนทางการตลาดมากกว่า 50% ถัดมาเป็นการ์ตูนและมังงะ 21% ที่เหลือจะเป็นหนังสืออื่น ๆ เช่น หนังสือเรียน ประวัติศาสตร์ ฯลฯ
งานสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 22 หรือ Bangkok International Book Fair ในปีนี้ มีบูธจำหน่ายรวมหนังสือรวมกว่า 1 ล้านเล่ม จาก 322 สำนักพิมพ์และร้านหนังสือชั้นนำรวม 914 บูธ พร้อมกับกิจกรมต่างๆ อีกกว่า 100 กิจกรรม และไฮไลท์สำคัญกับกิจกรรม "Bangkok Rights Fair 2024" การจับคู่ธุรกิจ ซื้อขายแลกเปลี่ยนลิชสิทธิ์หนังสือ (Business Matching) กับสำนักพิมพ์ชั้นนำระดับโลกจาก 14 ประเทศ ที่บินตรงมาร่วม
"งานนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างมากเกินความคาดหมายที่วางไว้ มีสำนักพิมพ์ชั้นนำระดับโลกจากต่างประเทศเข้าร่วมออกบูธจาก 9 ประเทศ 11 บริษัท รวม 18 บูธ อาทิ ไต้หวัน ญี่ปุ่น จีน ยูเครน ฯลฯ ที่มานำเสนอหนังสือและวัฒนธรรมของแต่ละชาติ ซึ่งครอบคลุมเทคโนโลยีการพิมพ์ วัฒนธรรม และการเรียนการสอนภาษาต่างๆ ด้วย ถือว่าการจัดงานในครั้งนี้สำหนักพิมพ์จากต่างชาติให้ความสนใจมาก"
นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) TCEB กับการจัดงาน "Bangkok Rights Fair" ซื้อขายแลกเปลี่ยนลิขสิทธิ์หนังสือ จับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างสำนักพิมพ์ไทยและตัวแทนจำหน่าย (เอเจนชี) จากต่างประเทศ ในรูปแบบ Business to Business (B2B) โดยมีตัวแทนจาก 34บริษัท/ตัวแทนต่างชาติ จาก 14 ประเทศ และ 53 สำนักพิมพ์/ตัวแทนจำหน่าย (เอเจนชี) ประเทศไทยเข้าร่วมเจรจา ระหว่าง 28-30 มีนาคม 2567 ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าการซื้อขายลิชสิทธิ์ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือไม่ต่ำกว่า 350 ล้านบาท
นายสุวิช กล่าวว่า หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2557 ภาพรวมตลาดหนังสือของไทยมียอดขายสูงที่สุด 25,900 ล้าบาท จนมาถึงช่วงโควิด-19 เหลือเพียง 13,000 ล้านบาท หลังจากนั้นเริ่มขยับขึ้นประมาณ 10% ต่อปี คาดการณ์ว่าในปี 2567 นี้จะขยับขึ้นมาเป็น 17,000 ล้านบาท โดยการจัดงานสัปดาห์หนังสือนานาชาติครั้งที่ 52 นี้ แต่ละสำนักพิมพ์จะเปิดตัวปกหนังสือใหม่ไม่ต่ำกว่า 10 ปก/สนพ. แม้หน้าร้านหนังสือในปัจจุบันจะลดลงประมาณ 30% ตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมาทดแทนคือร้านหนังสือออนไลน์ที่เติบโตขึ้นมาก บางคนมาดูหนักสือจริงแต่กลับไปซื้ออนไลน์เพราะได้ส่วนลดมากกว่า ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญที่ทางสมาคมจะต้องพัฒนา
โดยโซนหนังสือในงานจะแบ่งออกเป็น 7 หมวด ประกอบไปด้วย 1. หนังสือนิยายและวรรณกรรม 2.หนังสือการ์ดูและวัยรุ่น 3.หนังสือเด็กและการศึกษา 4. หนังสือต่างประเทศ 5.หนังสือทั่วไป 6. หนังสือเก่า และ 7. Non - Book ส่วนโชนนิทรรศการจะได้พบกับ นิทรรศการบันทึกเมืองแมว (Cat Country) พระราชนิพนธ์แปลในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัดนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยบริษัท นานมีบุ๊คส์ จำกัด,นิทรรศการหนังสือดีเด่น ประจำปี 2567 โดยสำนักงานคณะกรรมการกาศึกษาชั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ (สพฐ.), นิทรรศการวรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า "Phanwaenfah Prize เส้นชัยไม่ไกลเกินเอื้อม" โดย สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, นิทรรศการ สงกรานต์พราวเวอร์ (Proud Songkran) โดย คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟด์พาวเวอร์แห่งชาดิ, นิทรรศการ คนดังอ่านอะไร (What read)
ในโซนกิจกรรมจะพบกับกิจกรรมต่างๆ กว่า 100 กิจกรรม ไฮไลท์เป็นกิจกรรมการแข่งขัน Booklympics การเฟันหาสุดยอดฝีมือแห่งวงการหนังสือ 5 ด้าน ได้แก่ 1.สุดยอดนักออกแบบ (Designer) 2.สุดยอดนักคิดพล็อต (Writer) 3.สุดยอดนักพิสูจน์อักษร (Proofreader) 4.สุดยอดนักขาย (Top seller) 5.สุดยอดนักอ่าน (Best reader) รวมทั้งกิจกรรม "หนึ่งอ่านล้านตื่น" (One Reader Inspires Million People Foundation) โดยสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ที่จัดทำขึ้นเพื่อรณรงค์หาทุนมอบให้กับหน่วยงานที่ส่งเสริมการอ่านแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ผ่านการมอบทุน "ซื้อหนังสือตรงใจ" จำนวน 20 แห่ง แห่งละ 10,000 บาท รวมมูลค่า 200,000 บาท เพื่อนำไปเลือกชื่อหนังสือใหม่ด้วยตนเอง, กิจกรรม "หนังสือมีไว้ทำไม" เปิดโอกาสให้นักอ่านได้แสดงความคิดเห็น