"ไมเนอร์ ฟู้ด" ปรับแผนสู้วิกฤตต้นทุนพุ่ง เพิ่มสปีดบุกตลาดอินโด-เวียดนาม

05 ก.ค. 2567 | 04:50 น.
อัปเดตล่าสุด :05 ก.ค. 2567 | 04:55 น.

"ไมเนอร์ ฟู้ด" เร่งปรับกลยุทธ์ หลังเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนสูง ทั้งค่าแรง-วัตถุดิบ พร้อมเดินหน้าบุกตลาดเวียดนามและอินโดนีเซีย หลังได้รับสิทธิ์บริหารจัดการทั้งหมด

นายธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยว่ายังคงเป็นหนึ่งในเซ็กเตอร์สำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ด้วยมูลค่าตลาดกว่า 4 แสนล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญที่ธุรกิจร้านอาหารมีต่อวิถีชีวิตและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม ไมเนอร์ ฟู้ด และธุรกิจร้านอาหารต่าง ๆ กำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญสองประการคือ ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น จากค่าแรงและค่าวัตถุดิบ โดยเฉพาะราคาเมล็ดกาแฟที่พุ่งสูงขึ้นจากปัจจัยภัยแล้ง

ไมเนอร์ ฟู้ด ในฐานะผู้ประกอบการร้านอาหารเตรียมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวผ่านกลยุทธ์หลัก 2 ประการ ดังนี้

  1. การเจรจาต่อรองกับผู้จัดส่ง: ทางบริษัทมุ่งเน้นการเจรจาต่อรองกับผู้จัดส่ง เพื่อหาทางลดต้นทุนวัตถุดิบ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินค้าและบริการ
  2. การปรับกลยุทธ์ด้านราคา: เข้าใจดีว่าผู้บริโภคจำนวนมากยังต้องการอาหารที่มีราคาเข้าถึงได้ ทางบริษัทจึงอาจพิจารณาปรับลดปริมาณอาหารหรือปรับราคาสินค้าบางรายการลงเล็กน้อย เพื่อรักษาฐานลูกค้าและขยายโอกาสทางธุรกิจ

นายคุณธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท

ส่วนโอกาสในครึ่งปีหลัง แม้จะเผชิญกับความท้าทายแต่ยังมองเห็นโอกาสเติบโตของธุรกิจร้านอาหารในครึ่งปีหลัง โดยอาศัยปัจจัยหนุนหลังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การใช้จ่ายภาครัฐผ่านเงินดิจิทัลวอลเล็ต มีแนวโน้มส่งผลดีต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ประกอบกับการกลับมาของภาคการท่องเที่ยว เห็นสัญญาณนักท่องเที่ยวต่างชาติทยอยเข้ามา คาดว่าส่งผลดีต่อธุรกิจร้านอาหารจนถึงสิ้นปี

ส่วนแผนธุรกิจในครึ่งปีหลัง มุ่งเน้นการขยายตลาดในอินโดนีเซียและ เวียดนาม เป็นหลักหลังจากได้รับสิทธิ์บริหารจัดการทั้งหมดในอินโดนีเซีย และมองเห็นโอกาสการเติบโตที่แข็งแกร่งในเวียดนาม

โดยบริษัทตั้งเป้าส่งแบรนด์ "เดอะ พิซซ่า คอมปะนี" (ปัจจุบันมี 160 สาขาในต่างประเทศ) "สเวนเซ่นส์" และ "เดอะ คอฟฟี่ คลับ" ให้กลายเป็น "Global Company Brand" ทยอยขยายสาขาไปยังต่างประเทศ อีกทั้งใน 3-5 ปีข้างหน้ายังมีแผนส่งแบรนด์ชานมไข่มุก "กาก้า" และ "ซิลเลอร์" ร้านอาหารประเภทสเต็ก ซีฟู๊ด และสลัด สไตล์ตะวันตก" บุกตลาดต่างประเทศเพิ่มเติม

\"ไมเนอร์ ฟู้ด\" ปรับแผนสู้วิกฤตต้นทุนพุ่ง เพิ่มสปีดบุกตลาดอินโด-เวียดนาม

ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ในประเทศไทยจะอยู่ที่ 60% ต่างประเทศ 40% และมีเป้าหมายที่จะพลิกรูปสัดส่วนให้ต่างประเทศมีรายได้มากกว่าในอนาคต โดยมุ่งเน้นตลาดกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) เป็นตลาดหลัก ส่วนกลยุทธ์การตลาดของ ไมเนอร์ ฟู้ด แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ

  • 70% เน้นการพัฒนาสิ่งที่มีอยู่ให้ดีขึ้น เช่น การพัฒนาสินค้าและบริการ การยกระดับประสบการณ์ลูกค้า และการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
  • 20% เน้นการทดลองทำสิ่งใหม่ เช่น การออกเมนูใหม่ การนำเสนอโปรโมชั่น และการขยายช่องทางการขาย
  • 10% เน้นการทดลองสิ่งใหม่ๆ โดยไม่กลัวความล้มเหลว เช่น การสร้างกระแส หรือทดลองกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่

ตัวอย่างแบรนด์ที่จะมีการปรับกลยุทธ์ในครึ่งปีหลังคือ "แดรี่ควีน" และ "สเวนเซ่นส์" จะมีการรีโนเวทร้าน ปรับภาพลักษณ์ และขยายสาขาเพิ่ม นอกจากนี้บริษัทมีแผนขยายสาขา "กาก้า" ไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ซึ่งได้เริ่มเปิดสาขาที่พัทยาและระยอง เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ

สำหรับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน เริ่มกลับมาเข้าร้านอาหารมากขึ้น ประกอบกับเทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรง บริษัทมีการปรับสูตรไอศกรีมให้ลดน้ำตาลลง นอกจากนี้ยังมีแผนนำเสนอเมนูใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับเทรนด์อาหารจีน ซึ่งกำลังได้รับความนิยม