ผศ.ดร.เอกก์ ภทรธนกุล หัวหน้าภาควิชาการตลาด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า บริษัทชั้นนำของไทยต่างเพิ่มงบประมาณในการทำการตลาดอย่างต่อเนื่องในปี 67 เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
ข้อมูลจากสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปีนี้ใช้งบการตลาดประมาณ 5-10% ซึ่งน้อยลงกว่าปีก่อนหน้าอยู่ที่ 10% เป็นปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง พฤติกรผู้บริโภคหลากหลายขึ้น เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแผลง เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในการใช้งบการตลาด
จากการสำรวจ พบว่าปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้บริษัทต่างๆ ต้องเพิ่มงบประมาณการตลาด ได้แก่
ตัวอย่างแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการแข่งขันสูง พบว่าบริษัทต่างๆ ยอมทุ่มงบประมาณในการทำการตลาดอย่างเต็มที่ เพื่อให้แบรนด์ของตนเป็นที่รู้จักและจดจำของผู้บริโภคมากขึ้น
นอกจากนี้ ผลวิจัยยังพบว่าหลายบริษัทได้ให้ความสำคัญกับการนำข้อมูลของลูกค้ามาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น โดยอาศัยข้อมูลจากช่องทางต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย และเว็บไซต์ของบริษัท
การแข่งขันที่รุนแรงในปัจจุบัน ทำให้หลายบริษัทต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถอยู่รอดและเติบโตได้ในระยะยาว ฉายภาพจากแบรนด์ที่ดำเนินธุรกิจมายาวนาน ตบเท้ารีเฟรชแบรนด์ ปรับตัวเพราะคู่แข่งมีมากขึ้น
ภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดงานมอบรางวัล “The Most Powerful Brands of Thailand 2024” หรือ "สุดยอดแบรนด์ทรงพลังของประเทศไทย 2024" ครอบคลุม 29 กลุ่มผลิตภัณฑ์ งานนี้ถือเป็นการสำรวจแบรนด์ครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร รักษาการอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธานมอบรางวัลให้กับผู้บริหารแบรนด์ ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผศ.ดร.เอกก์ ภทรธนกุล หัวหน้าภาควิชาการตลาด กล่าวว่า การจัดอันดับความแข็งแกร่งของแบรนด์ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยที่ภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ ดำเนินการอย่างต่อเนื่องทุก 2 ปี ซึ่งในปีนี้ถือเป็นครั้งที่ 7 โดยนอกจากจะมีการประกาศรางวัลแบรนด์ที่แข็งแกร่งที่สุดใน 29 กลุ่มผลิตภัณฑ์แล้ว คณะผู้วิจัยยังได้ทำการวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมให้แบรนด์แข็งแกร่ง เพื่อนำมาเป็นองค์ความรู้ในการกำหนดกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดอีกด้วย
รศ.ดร.ณัฐพล อัสสะรัตน์ หัวหน้าโครงการวิจัย อธิบายเพิ่มเติมว่า การประเมินความแข็งแกร่งของแบรนด์จะพิจารณาครอบคลุม 4 มิติ ได้แก่ ความตระหนักในแบรนด์ (Awareness) ความชื่นชอบในแบรนด์ (Preference) การใช้ผลิตภัณฑ์ (Usage) และภาพลักษณ์ (Image) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ความสำเร็จของแบรนด์ทั้งในแง่ Market Share, Mind Share และ Heart Share อย่างครบถ้วน
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีความน่าเชื่อถือและถูกต้อง ทีมวิจัยได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 24,000 ตัวอย่าง โดยแบ่งเป็นกลุ่มในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 12,000 ตัวอย่าง และใน 13 จังหวัดหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศอีก 12,000 ตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้บริโภคชาวไทย อายุระหว่าง 18-69 ปี ที่มีความหลากหลายทางเพศและช่วงอายุ โดยทุกคนจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจซื้อและใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการด้วยตนเอง เพื่อให้การประเมินแบรนด์มีความถูกต้องและแม่นยำ
รศ.ม.ล.สาวิกา อุณหนันท์ รองประธานหลักสูตร Master in Branding and Marketing (MBM) และหนึ่งในทีมวิจัย กล่าวเสริมว่า ในปัจจุบัน แบรนด์ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การสร้างชื่อเสียงหรือการมอบคุณค่าให้แก่ผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังต้องให้ความสำคัญกับสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
รศ.ม.ล.สาวิกา ยังกล่าวว่า การพัฒนาองค์ความรู้เพื่อยกระดับขีดความสามารถของแบรนด์ให้ทันสมัยและตอบสนองต่อสังคม ถือเป็นพันธกิจหลักของภาควิชาการตลาดในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อธุรกิจและสังคมที่ยั่งยืน ในการวิจัยครั้งนี้
คณะวิจัยยังได้ทำการสำรวจค่านิยมและกระบวนการตัดสินใจซื้อของกลุ่มตัวอย่าง ทำให้สามารถจำแนกกลุ่มผู้บริโภคชาวไทยออกเป็น 7 เจน (Generations) ซึ่งมีพฤติกรรมและการตัดสินใจซื้อที่แตกต่างจากการแบ่งกลุ่ม Generation ในอดีต และสะท้อนถึงบริบทของสังคมไทยในปัจจุบัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ทำงานด้านการตลาดในการวางกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับผู้บริโภคแต่ละช่วงวัยในบริบทของสังคมไทยได้อย่างแท้จริง
ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนบุคคลและครัวเรือน (Personal Care & Household Products)
ยานยนต์ (Automotives)
ผลิตภัณฑ์และบริการด้านเทคโนโลยี (Technology Products & Services)
อาหารและขนมขบเคี้ยว (Food & Snacks)
เครื่องดื่ม (Beverages)
ร้านอาหารและบริการทางการเงิน (Restaurant, Financial Services & Property)