กว่า 100 ปี ที่ “รินไน” ดำเนินธุรกิจเครื่องใช้ในครัวเรือนในประเทศญี่ปุ่น ก่อนที่จะขยายอาณาจักรไปใน 34 ประเทศ พร้อมกับพัฒนาผลิตภัณฑ์วางจำหน่ายในกว่า 80 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานการผลิตสำคัญของ “รินไน” (Rinnai) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“ฐานเศรษฐกิจ” มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ “ไทจิ อุเมมูระ” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท รินไน (ประเทศไทย) จำกัด แม่ทัพใหญ่ผู้คุมบังเหียนในไทย ถึงทิศทางธุรกิจและแผนขยับตัวครั้งใหญ่
“ไทจิ อุเมมูระ” เล่าให้ฟังว่า วันนี้รินไน ถือเป็นเบอร์ 1 ในตลาดเครื่องใช้ในครัวเรือนในประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมและไว้วางใจอย่างมาก ขณะที่กลุ่มสินค้าภายใต้บริษัทรินไน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือน อาทิ เตาแก๊ส เตาไฟฟ้า เครื่องดูดควัน เตาอบ, ผลิตภัณฑ์เครื่องทำน้ำร้อน
และผลิตภัณฑ์ทำความร้อนในที่อยู่อาศัย เช่น ฮีตเตอร์และระบบทำความร้อนใต้พื้น (Space Heating) ที่สามารถครองอันดับ 1 กลุ่มเครื่องใช้ในครัวประเภทใช้แก๊สในอินโดนีเซียและเกาหลี รวมถึงครองอันดับ 1 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องทำน้ำร้อนในตลาดอเมริกาและออสเตรเลียอีกด้วย
ปัจจัยที่ทำให้รินไนประสบความสำเร็จคือ “การวิจัยและพัฒนา” สินค้าในกลุ่มเครื่องทำน้ำอุ่น เครื่องทำความร้อน เครื่องใช้ในครัวเรือนและอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้นวัตกรรมสินค้าตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ขณะที่ผลประกอบการใน 9 เดือนที่ผ่านมาพบว่า ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซา และกำลังซื้อที่ลดลง ทำให้บริษัทมียอดขายต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ แต่ในทางกลับกันบริษัทมีกำไรเพิ่มสูงขึ้น ปัจจัยหลักมาจากบริษัทนำเทคโนโลยีในมาใช้ในกระบวนการผลิตเพิ่มมากขึ้น เช่น
เทคโนโลยีระบบ Automation การนำแขนจักรกล หุ่นยนต์มาใช้ในโรงงาน การนำพลังงานสะอาดจากการติดตั้ง Solar Roof Top มาผลิตไฟฟ้าใช้ในกระบวนการผลิต การยกระดับการผลิตให้มีมาตรฐาน รวมถึงการบริหารจัดการหลังบ้าน ที่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการผลิต ราคาวัตถุดิบได้
อย่างไรก็ดี คาดว่าจนถึงสิ้นปีนี้ บริษัทจะมีรายได้กว่า 900 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ จากการที่บริษัทรุกทำตลาดในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันจากเทศกาลต่างๆ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่จะใช้จ่ายมากขึ้น ขณะเดียวกันเป็นช่วงฤดูขายของสินค้าเครื่องทำน้ำอุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์เรือธงของบริษัท รวมทั้งการเปิดตัวเครื่องปั๊มน้ำอัตโนมัติ ชนิดแรงดันน้ำคงที่ ซึ่งเป็นสินค้าใหม่ที่เปิดตัวทำตลาดครั้งแรกในเมืองไทย ในปลายปีนี้ด้วย
“ไฮซีซันปีนี้ นอกจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เครื่องทำน้ำอุ่น 3 รุ่นใหม่ ได้แก่ รุ่น FON (ฝน) ซึ่งมีจุดเด่นดีไซน์ทันสมัย ได้มาตรฐาน ได้รับรางวัลด้านดีไซน์ Good Design Award 2024 จากประเทศญี่ปุ่น และ KIN BLACK Series 2 รุ่นได้แก่ รุ่น KIN 550(RB)ที่มาพร้อมชุด Rain Shower และรุ่น KIN 450(BL)มาพร้อมชุดฝักบัวและสไลด์บาร์ ซึ่งพัฒนาดีไซน์ให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ และกลุ่มครอบครัวที่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพสูง มีดีไซน์ที่แตกต่าง
นอกจากนี้บริษัทยังให้ความสำคัญกับลูกค้าทั้งกลุ่ม B2B และ B2C จึงขยายช่องทางการจำหน่ายให้ครอบคลุมทั้งกลุ่ม Traditional Trade อาทิ ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ และ Modern Trade อาทิ บ้านกรองน้ำ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ฯลฯ รวมทั้งช่องทางออนไลน์ พร้อมกับการจัดกิจกรรมทางการตลาด การจัดแสดงสินค้า
รวมทั้งการโฆษณาผ่านสื่อบิลบอร์ด เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า ซึ่งวันนี้คนไทยให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อเครื่องทำน้ำอุ่นมากขึ้น โดยจะคำนึงถึงคุณภาพ ประสิทธิภาพของเครื่องทำน้ำอุ่นเป็นสิ่งสำคัญ รองลงมาได้แก่ ดีไซน์ และราคา”
สำหรับตลาดเครื่องทำน้ำอุ่นในประเทศไทยปัจจุบันมีมูลค่ารวมกว่า 2,250 ล้านบาทหรือกว่า 9 แสนเครื่อง โดยปัจจุบันผู้บริโภคคนไทยมีอัตราการใช้เครื่องทำน้ำอุ่นราว 20% ของจำนวนครัวเรือนทั้งประเทศ ขณะที่ในปีที่ผ่านมามีการเติบโตต่อเนื่อง จากความต้องการของครอบครัวรุ่นใหม่ และผู้ที่ดูแลใส่ใจต่อสุขภาพ ที่นิยมอาบน้ำอุ่นมากขึ้น ทำให้บริษัทเชื่อมั่นว่า ตลาดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,042 วันที่ 7 - 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567