แม้จะอยู่ในน่านน้ำสีแดง (Red Ocean) แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสมรภูมิตลาดกาแฟในประเทศไทย ที่มีมูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านบาท ยังคงแข่งขันกันดุเดือด รุนแรงต่อเนื่อง เมื่อบิ๊กเนมที่ต่างแลกกันแบบ “หมัดต่อหมัด” โดยเฉพาะในเซ็กเมนต์ที่ถูกจับตามองมากที่สุดหนีไม่พ้น “ตลาดร้านกาแฟนอกบ้าน” ซึ่งมีมูลค่ากว่า 2.7 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วยร้านกาแฟในสถานีบริการน้ำมันกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท และร้านกาแฟอื่นๆกว่า 8,000 ล้านบาท สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์และเป็นโอกาสในการรุกทำตลาดของร้านกาแฟ
นอกบ้านคือ สัดส่วนการดื่มกาแฟของคนไทยที่เพิ่มขึ้นเป็น 300 แก้ว/คน/ปี จากเดิม 150-170 แก้ว/คน/ปี รวมถึงอายุเฉลี่ยของผู้ดื่ม ที่ปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ 16-17 ปี จากเดิม 21-22 ปี ถือเป็นจุดแข็งและโอกาสที่จะก้าวเข้ามาแข่งขันในสมรภูมินี้
“ฐานเศรษฐกิจ” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ “สุขวสา ภูชัชวนิชกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด ถึงภาพรวมของตลาดร้านกาแฟนอกบ้าน และแผนธุรกิจของ “พันธุ์ไทย” ร้านกาแฟในพอร์ตโฟลิโอของกลุ่มพีทีจี เอ็นเนอร์ยี หรือสถานีบริการน้ำมัน PT
“สุขวสา” เล่าให้ฟังว่า วันนี้ธุรกิจร้านกาแฟยังเป็นตลาดแห่งโอกาสแต่ขณะเดียวกันก็มีความท้าทายไม่น้อย โดยกาแฟพันธุ์ไทยทำตลาดมายาวนานกว่า 12 ปี ซึ่งพึ่งมีผล “กำไร” เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ในปี 2565 ที่ผ่านมา
โดยในปี 2565 “พันธุ์ไทย” ถือเป็นแบรนด์ร้านกาแฟที่กล้าลุกขึ้นมาสวนกระแสตลาดร้านกาแฟสดเมืองไทย สร้างความฮือฮาในวงการกาแฟไทยอีกครั้ง เมื่อประกาศยืนหยัดไม่ปรับขึ้นราคาเครื่องดื่มท่ามกลางภาวะต้นทุนที่สูงขึ้น ขณะที่คู่แข่งรายอื่นๆ ต่างทยอยปรับราคาขึ้นไปแล้ว ถือเป็นการส่งสัญญาณให้คู่แข่งได้รับรู้ว่าพร้อมแล้วที่จะบุกตลาดอย่างเต็มรูปแบบ
ความน่าสนใจของตลาดร้านกาแฟนอกบ้าน กลับมาเฟื่องฟูในปี 2566 เห็นได้จากแบรนด์ร้านกาแฟชั้นนำเปิดเกมรุกชิงตำแหน่งและส่วนแบ่งตลาด รวมถึง “กาแฟพันธุ์ไทย” เองที่รุกทำการตลาดสร้างแบรนด์อย่างจริงจัง มีการส่งเสริมกาแฟไทยและการปลูกกาแฟในพื้นที่ต่างๆ เช่น การร่วมมือกับเกษตรกรในเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอนเพื่อปลูกกาแฟและให้ความรู้เกี่ยวกับการผลิตกาแฟที่มีคุณภาพ การเติบโตของตลาดกาแฟในประเทศไทยยังคงมีแนวโน้มดี โดยมีการคาดการณ์ว่ายอดขายกาแฟจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้
“สุขวสา” บอกว่า แผนธุรกิจของกาแฟพันธุ์ไทยมีการมุ่งเน้นที่การสร้างแบรนด์และการขยายตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้เกี่ยวกับกาแฟมากขึ้น และต้องการกาแฟที่มีคุณภาพดีในราคาที่เข้าถึงได้
“ในปีนี้ เราพบว่าตลาดร้านกาแฟไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์การดื่มกาแฟที่หลากหลายมากขึ้น กาแฟพันธุ์ไทยจึงได้ปรับกลยุทธ์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาคุณภาพของกาแฟ การสร้างแบรนด์ และการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง
โดยปกติแบรนด์ของเราไม่ติดอันดับโพลของร้านกาแฟนอกบ้านเลย แต่ในปีนี้ขึ้นเป็นแบรนด์อันดับ 1 ที่มีการพูดถึงผ่านโซเชียลมากที่สุดในปี 2567 และเป็นอันดับ 5 ของเชนร้านกาแฟที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุด แน่นอนเป้าหมายของ “พันธุ์ไทย” คือการขึ้นแท่นเป็นเบอร์ 1 ให้ได้ในอนาคต”
แผนการรุกทำตลาดในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 “สุขวสา” บอกว่า พันธุ์ไทยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อเนื่อง เช่น กาแฟไทยริกาโน่ ซึ่งเป็นกาแฟไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ที่มีคุณภาพสูง และมีราคาที่จับต้องได้ โดยมีการตั้งราคาอยู่ที่ประมาณ 60-65 บาทต่อแก้ว
นอกจากนี้กาแฟพันธุ์ไทยสร้างประสบการณ์ใจฟู คว้าสองหนุ่มเกาหลียูทูบเบอร์ชื่อดัง ‘คัลแลนและพี่จอง’ ปลุกพลัง Fandom Marketing ส่งมอบประสบการณ์ตรงจากแฟนพันธุ์ไทยตัวจริงกับเมนูโปรด อเมริกาโนไม่หวาน สู่การเป็นแบรนด์พรีเซนเตอร์คู่แรกของกาแฟพันธุ์ไทย
พร้อมชู Product Hero ล่าสุดด้วยการเปิดตัวด้วยแคมเปญ “ไทยริกาโน อเมริกาโนสัญชาติไทยที่โดนใจคนรุ่นใหม่ และชาวต่างชาติ” สะท้อนภาพลักษณ์ของแบรนด์ไทยที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ และมุมมองแง่บวก สร้างการรับรู้ผ่านคอนเทนต์ที่สนุกสนาน และหลากหลายกิจกรรมทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ รวมทั้งหนังโฆษณาชวนอมยิ้มที่เชื่อมโยงกับ Brand DNA ของพันธุ์ไทย พร้อมอีเวนท์ใหญ่ที่จะมาเซอร์ไพรส์เป็นของขวัญปีใหม่ให้เหล่าแฟนคลับต้นปี 2568 นี้
“สุขวสา” บอกว่า เป้าหมายของกาแฟพันธุ์ไทยคือ สาขาให้ครบ 5,000 สาขาภายในระยะเวลา 5 ปี จากในปีนี้ที่คาดว่าจะมีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นประมาณ 400-500 สาขา ทำให้สิ้นปีพันธุ์ไทยจะมีสาขารวมทั้งหมด 1,300 สาขา โดยจะเห็นร้านกาแฟพันธุ์ไทยปักหมุดในพื้นที่ต่างๆ ทั้งภายในสถานีบริการน้ำมัน PT และพื้นที่ที่มีการเดินทางหลัก เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้น
“นอกจากการลงทุนของบริษัทเอง จะเห็นร้านแฟรนไชส์เกิดขึ้นด้วย โดยปัจจุบันสัดส่วนของแฟรนไชส์อยู่ที่ประมาณ 20% และมีแผนที่จะเพิ่มเป็น 25% ในอนาคต”
สำหรับการลงทุนของร้านแฟรนไชส์มีระดับราคาเริ่มต้นที่แตกต่างกันไปตามรูปแบบ เช่น คีออส งบลงทุนประมาณ 2.5 - 3.7 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับขนาดและรูปแบบของร้าน นอกจากนี้ ยังมีการมุ่งเน้นไปที่การเลือกผู้ประกอบการที่มีความพร้อมและตั้งใจจริงในการทำธุรกิจ เพื่อให้การขยายสาขาเป็นไปอย่างมีคุณภาพ
“สุขวสา” ย้ำว่า การที่พันธุ์ไทยจะบรรลุเป้าหมายจำนวนสาขาได้นั้น มาจากการเปิดรับผู้สนใจลงทุนแฟรนไชส์รายใหม่ๆ ซึ่งมีจุดเด่นที่รูปแบบการลงทุนที่ง่าย คุ้มค่า เน้นหาคู่ค้าที่มีคุณภาพพร้อมจะเติบโตคู่กับกาแฟพันธุ์ไทย โดยมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาและแนะนำ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการบริหารจัดการร้าน, วัตถุดิบต่างๆ รวมถึงการควบคุมคุณภาพและรสชาติของเครื่องดื่มและอาหารภายในร้าน
ส่วนการสร้างการเติบโตนั้น นอกจากการขยายสาขาเพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีออกมาในรูปของการขยายฐานการดื่ม ยังให้ความสำคัญกับการขยายฐานผู้บริโภคเข้าสู่กลุ่มที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟที่บ้านต่อยอดการดื่มจากการสร้างประสบการณ์ผ่านตัวร้านกาแฟ ผ่านการเปิดตัว กาแฟแคปซูล และ กาแฟดริป ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งขาสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจด้วย
หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,044 วันที่ 14 - 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567