วันนี้(วันที่14 ธ.ค. 65) เดอะ สแตนดาร์ด แบงค็อก มหานคร โรงแรมสุดหรูใจกลางกรุง ณ ตึก คิง เพาเวอร์ มหานคร พร้อมแกรนด์โอเพนนิ่ง ยิ่งใหญ่ในวันนี้
นายเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะประธานกรรมการ สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นเนล กล่าวว่า ธุรกิจโรงแรมและที่พักของ สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นเนล ซึ่งกลุ่มแสนสิริ ถือหุ้นอยู่ 62% ในสแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเครือโรงแรม The Standard พร้อมจะเปิดตัว
โรงแรมเดอะ สแตนดาร์ด แบงค็อก มหานคร (The Standard Bangkok Mahanakhon)ในวันนี้
การจัดงานแกรนด์โอเพนนิ่งโรงแรมในวันนี้จะอลังการมากซึ่งเป็นโรงแรมนี้จะเป็นแฟล็กชิพของแบรนด์ The Standard ที่แรกในเอเชีย ที่เปิดให้บริการไปเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2565 และจะเปิดตัวโรงแรมอย่างเป็นทาง การในวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ซึ่งจะเป็นการเปิดตัวโรงแรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งทางเจ้าของโรงแรมอย่างคิงเพาเวอร์ อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ก็ทุ่มสุดตัว เพื่อให้โรงแรมนี้เป็นความภูมิใจของประเทศ
การเปิดตัวโรงแรม เดอะ สแตนดาร์ด แบงค็อก มหานคร ในประเทศไทย ซึ่งเดอะสแตนดาร์ดรับบริหาร เป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง โดยเชื่อว่า แลนด์มาร์กแห่งนี้ จะสร้างปรากฏการณ์ที่ทั่วโลกต้องจดจำ ไม่เพียงเฉพาะแค่ในภูมิภาคเอเชียเท่านั้น
การเปิดโรงแรม เดอะ สแตนดาร์ด แบงค็อก มหานคร อย่างไม่เป็นทางการก่อนหน้านี้ นับว่าได้รับการตอบรับอย่างดีจากความต้องการของตลาด มาก โดยเฉพาะในส่วนของห้องอาหารระดับท็อป อย่าง “Ojo” และ “Mott32” ที่ถูกสำรองที่นั่งเต็มไปล่วงหน้าอย่างน้อย 2 เดือน
ขณะที่ห้องพัก มียอดการจองเฉลี่ยในเดือนธ.ค.นี้อยู่ที่ 87% ม.ค.ปีหน้ายอดจองล่วงหน้าอยู่ที่ 70% มีการเติบโตของรายได้จากห้องพักที่ขายได้สูงถึง 120% รวมไปถึงระบบสมาชิกของฟิตเนส ที่ The Standard GYM ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งรายได้จาก การขายอาหารและห้องพัก อยู่ที่ 50:50 แตกต่างทั่วโลกที่ส่วนใหญ่รายได้จากห้องพักจะอยู่ที่ 70% และอาหารอยู่ที่ 30%
เรามั่นใจว่า เดอะ สแตนดาร์ด แบงค็อก มหานคร จะประสบความสำเร็จในการส่งมอบประสบการณ์ ไลฟ์สไตล์ที่เหนือความคาดหมาย สำหรับผู้มาเยือนทุกคน
เป็นหนึ่งเดียวกับกรุงเทพ
โรงแรมได้รับการออกแบบตกแต่งภายในโดย Jaime Hayon (ไฮเม่ ฮายอน) ศิลปินและนักออกแบบชาวสเปนผู้ทรงอิทธิพลแห่งยุค ร่วมกับทีมออกแบบมากรางวัลของ The Standard โดยเกิดขึ้นจากไอเดียที่ต้องการสร้างสถานที่แห่งนี้ให้มีเอกลักษณ์แบบเด่นชัดบวกกับพลังของความเป็นกรุงเทพเข้าไปศิลปินจึงได้หล่อหลอมเสน่ห์อันน่าค้นหาของกรุงเทพผสมผสานการใช้เทคนิคสร้างสรรค์
โดยดึงการวาดชิ้นงานต่างๆในรูปทรงอิสระเข้ามาอยู่ในรายละเอียดแต่ละมุมของโรงแรม ออกมาเป็นโรงแรมที่ค้อนข้างโดดเด่นด้วยงานดีไซน์ พื้นที่กว้างขวางทั้งในส่วนของอินดอร์และเอาท์ดอร์ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย
นอกจากนี้โรงแรมยังมีการสอดประสานผลงานศิลปะต่างๆ เข้าไปในแต่ละมุม อย่างล่าสุดโรงแรมได้สุดยอดศิลปินชาวอิตาเลียน Marco Brambilla มาจัดแสดงผลงานชิ้นเอกในรูปแบบวีดีโอที่มีชื่อว่า Heaven’s Gate ซึ่งเป็นหนึ่งในพาร์ทของซีรีส์ “The Box” ตรงล็อบบี้ที่มีแม่แบบมาจากโรงแรมแห่งแรกของแบรนด์ที่ฮอลลีวูด โดย The Box นี้จะถูกเปลี่ยนผลงานศิลปะในทุกๆ ไตรมาส
พักผ่อนและคลายเครียดไปกับเรา
ห้องพักอันทันสมัยและสวยงามของโรงแรมถูกตกแต่งให้ความรู้สึกน่าค้นหาด้วยการเลือกใช้โทนสีสันสบายตา พร้อมโซนบาร์ภายในห้องพักที่ถูกตกแต่งด้วยไฟอ่อนๆ สะท้อนความหรูหรา ตามด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์เรโทรที่ช่วยชูองค์ประกอบของห้องให้ดูมีอะไร
ในส่วนของห้อง Bigger Penthouse มาพร้อมขนาด 144 ตร.ม. ที่มีความกว้างใหญ่สุดโอ่อ่า มีห้องครัวที่เหมาะสำหรับจัดงานเลี้ยงส่วนตัว หรือสังสรรค์กับครอบครัว คนรู้ใจ โดยเลือกใช้อุปกรณ์เครื่องครัวสุดทันสมัยอย่างแบรนด์ระดับโลก Gaggenau รวมไปถึงห้องน้ำที่มาพร้อมอ่างอาบน้ำใหญ่โต บวกกับต้นไม้ที่ให้ความรู้สึกถึงธรรมชาติราวกับเหมือนอยู่บ้านที่อบอุ่น
ไม่เพียงเท่านี้ ภายในโรงแรมยังมีบริเวณสระว่ายน้ำ รายล้อมไปด้วยความเขียวชะอุ่มของธรรมชาติพร้อมวิวเมืองเป็นฉากหลัง โดยสระว่ายน้ำให้บริการตั้งแต่เมนูทานเล่นนานาชนิด ไปจนถึงค็อกเทลที่ทางบาร์คราฟท์มาโดยเฉพาะเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของความทรอปิคอล และเมนูเพื่อสุขภาพเอาใจสายเฮลท์ตี้กับไอเท็ม plant-based ต่างๆ
อีกทั้งยังมี The Standard Gym ห้องออกกำลังกายรายล้อมไปด้วยวิวเมืองสวยงามและแสงจากธรรมชาติไว้คอยบริการ 24 ชั่วโมง มาพร้อมกับอุปกรณ์ออกกำลังกายที่ทันสมัยอย่าง CLMBR และ PELOTON กรุ๊ปคลาสที่เป็นซิกเนเจอร์ต่างๆ ที่ทางทีมคัดสรรมาอย่างดี และห้องสตูดิโอที่คอยรองรับคลาสโยคะหรือคลาสสอนแอโรบิคสไตล์ฮอลลีวูด โดยคลาสทั้งหมดถูกจัดให้มีกิจกรรมตามตารางหรือสำหรับแขกที่ต้องการความเป็นส่วนตัว
จุดหมายปลายทางของนักชิม
ด้วยห้องอาหาร บาร์ และสถานที่ไนท์ไลฟ์ ถึง 6 แห่งด้วยกัน The Standard, Bangkok Mahanakhon จึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่รวมแหล่งแฮงค์เอ้าท์ใหม่สำหรับนักชิมและนักดื่มไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะเป็น The Standard Grill ร้านสเต็กเฮาส์สไตล์อเมริกันแบบออริจินัลที่มีแม่แบบมาจากกรุงนิวยอร์กในย่าน Meatpacking District พร้อมเสิร์ฟตั้งแต่อาหารเช้า ไปจนถึงมื้อเย็นแสนอร่อย
เมนูไฮไลท์คงหนีไม่พ้น The Standard BKK Wagyu Burger เบอร์เกอร์เนื้อฉ่ำชิ้นโตเข้ากันได้ดีกับฟัวกราส์ หรือทาทาร์เนื้อ และสเต็กเนื้อนุ่มชุ่มลิ้นที่พร้อมเสิร์ฟสไตล์ table-side จากรถเข็นที่ทางเราครีเอทขึ้นมาโดยเฉพาะทำมาจากไม้และหินอ่อนสุดคลาสสิก ไม่พอลิสต์เครื่องดื่มค็อกเทลก็ตอบโจทย์สายดื่มโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากยุค 1920 ช่วงยุคต้องห้าม (prohibition era) ในกรุงนิวยอร์กและกรุงเทพ ตามด้วยเมนูไวน์หลากชนิดรอให้คุณมาลิ้มลอง
บนชั้น 76 เป็นที่ตั้งของห้องอาหาร Ojo (โอโฮ) ห้องอาหารเม็กซิกันที่ตกแต่งในสไตล์เรโทรผสมผสานความหรูหราโมเดิร์นเข้ากันได้อย่างงดงามชวนมอง เมนูอาหารถูกสร้างสรรค์อย่างพิถีพิถันโดยเชฟ Francisco Paco Ruano เชฟมือฉมังมากด้วยประสบการณ์และรางวัลมากมายจากประเทศเม็กซิโก
ด้วยความช่ำชองของเชฟ ประกอบกับวิวเมืองอันสวยงาม โปรแกรมเครื่องดื่มสุดครีเอทีฟ และบรรยากาศชวนตื่นเต้น Ojo การันตีความอร่อยที่คุณยังไม่เคยได้ลิ้มรสที่ไหนในประเทศไทยมาก่อนอย่างแน่นอน ดังนั้น Ojo จึงเปรียบเสมือนอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางสำหรับนักกินดื่มที่ต้องมาเยือน เช่นเดียวกับที่ Boom Boom Room รูฟท็อปในตำนานของ The Standard ที่มหานครนิวยอร์ก และ Decimo ที่ลอนดอนซึ่งถูกเคลมว่าเป็นหนึ่งในรูฟท็อปที่ดีที่สุดในโลก
หรือจะเลือกดื่มด่ำไปกับวิวเมืองกรุงเทพ 360 องศา บนชั้น 78 ที่ Sky Beach ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในรูฟท็อปที่สูงที่สุดในประเทศไทย ในบรรยากาศสุดชิลล์ เคล้าเสียงดนตรีจังหวะดาวน์เทมโป ตามด้วยหลากหลายเครื่องดื่มค็อกเทลที่มีให้เลือกสรรไม่รู้จบ
ส่วนคนรักอาหารจีนห้ามพลาดกับ Mott 32 Bangkok ห้องอาหารสไตล์โมเดิร์นกวางตุ้งในตำนานจากฮ่องกง ที่จะนำทัพความอร่อยมาสู่กรุงเทพครั้งแรก โดดเด่นด้วยการนำเสนอวัตถุดิบสดใหม่คุณภาพพรีเมียมจากทั่วโลก อย่างเมนูไฮไลท์กับเป็ดปักกิ่งรมควันด้วยไม้แอปเปิ้ล ตามด้วยโปรแกรมค็อกเทลที่ทางบาร์รังสรรค์ขึ้นเป็นพิเศษ นอกจากนี้คนรักการดื่มชาต้องชื่นชอบที่ Tease ทีรูมซึ่งถูกตกแต่งด้วยโทนสีขาวดำ ให้บรรยากาศสุดคูลเสมือนหลุดเข้าไปอยู่ในฉากหนัง พร้อมด้วยเมนูชานานาชนิดและอาหารทานเล่นสไตล์อเมริกันแบบทวิสต์ไม่ซ้ำใคร
ยิ่งไปกว่านั้นโรงแรมยังมี The Parlor แหล่งแฮงเอาท์ศูนย์กลางของโรงแรมภายใต้การตกแต่งที่ดูโล่งโปร่งสบาย ให้บริการทั้งในส่วนอินดอร์ และเอาท์ดอร์ อีกหนึ่งสถานที่ที่เหมาะจะเป็นคอมมิวนิตี้สำหรับคนสุดครีเอทีฟ
รวมพลคนรักการพบปะสังสรรค์ พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตลอดจนกิจกรรมโปรแกรมมิ่งมากมายที่ถือเป็นหนึ่งในดีเอ็นเอของแบรนด์ อาทิ The Standard Bingo ที่จะเปลี่ยนตีมไปเรื่อยๆ โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากสุดยอดบิงโกที่ The Standard, High Line งานทอล์คพิเศษจากแขกรับเชิญ และไลฟ์ดีเจที่มาเล่นเพลงเพิ่มจังหวะสุดมันส์ใน Sounds Studio ของ The Standard
ศิลปะที่รายล้อมอยู่ทั่วโรงแรม
พื้นที่ส่วนกลางภายในโรงแรมนั้นได้ดึงดูดผู้มาเยือนให้ดื่มด่ำเอนจอยไปกับงานศิลปะที่มีการสอดแทรกย่านชุมชนเมืองแห่งความคิดสร้างสรรค์เข้ามาในทุกบริบท อีกทั้งยังเชื่อมโยงกันถึงความน่าตื่นเต้นของเมืองนี้ ทั้งหมดผ่านออกมาเป็นงานดีไซน์ที่รายล้อมอยู่ทั่วทุกมุมในโรงแรม ซึ่งในล็อบบี้ทันทีที่ก้าวเข้ามาเยือนสถานที่แห่งนี้ คุณจะได้เจอกับลายเส้นภาพวาด portrait ของคู่รักบนพื้น
โคมไฟหวายที่นำวัสดุท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้ หรือต้องสะดุดตาไปกับผลงานศิลปะจากศิลปินชื่อดัง Marc Quinn กับผลงานที่มีชื่อว่า “Flood Plain of the Tributaries of the Orinocco”, 2018 ถูกแสดงอย่างโดดเด่นตรงบริเวณที่เช็คอินซึ่งเป็นหนึ่งในไพรเวทคอลเล็คชั่นจากทาง คิง เพาเวอร์ นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งงานประติมากรรมชิ้นใหญ่ที่ถูกจัดแสดงอยู่ตรงบริเวณลิฟท์ทางเดินของ Joan Miro ที่มีชื่อว่า “Personnage” (bronze sculpture ตรงชั้น L4) รวมไปถึงการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ภายในทั่วไป ตามบรีฟจาก Chief Design Officer คุณ Verena Haller และทีมออกแบบของ The Standard ให้มีสีสันสวยงาม รูปทรงแสนเก๋น่าค้นหา อีกทั้งยังสะดวกสบายในการนั่งพักผ่อน ตลอดจนสิ่งของแฮนด์เมดส่งตรงมาจากแบรนด์ The Standard และจากศิลปินไทยซึ่งวางขายที่ The Shop โดยสิ่งของทั้งหมดถูกเลือกสรรอย่างปราณีตโดยดีไซเนอร์ เพื่อให้ตอบโจทย์และเข้าคู่กับสไตล์ของโรงแรมอย่างชัดเจน
ประชุมกันอย่างสร้างสรรค์
ด้วยวิวเมืองเต็มๆ บวกกับแสงจากธรรมชาติ ห้องประชุมทั้งหมด 4 ห้อง ของเรานั้นถูกออกแบบให้ตอบโจทย์กับผู้ที่ต้องการประชุมทั้งงานแบบจริงจัง หรืองานสนุกสังสรรค์ก็ไม่เว้น ครบครันด้วยเทคโนโลยีสุดทันสมัย และบริเวณส่วนกลางอันกว้างขวางเพื่อรองรับงานอีเวนท์หลากหลายสไตล์ ตั้งแต่งานเลี้ยงต้อนรับ เวิร์คช็อป โปรดักชั่น และอีกมากมาย โดยมีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดที่ 126 ตร.ม และเพดานสูงถึง 3.2 เมตร สามารถรองรับได้ถึง 80 ที่นั่งสไตล์เธียเตอร์