ปัจจุบันพอร์ตโฟลิโอ ของ Standard International (สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล) แบรนด์บริหารโรงแรมชื่อดังจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งบิ๊กดีเวลลอปเปอร์ อสังหาฯ “กลุ่มแสนสิริ” ถือหุ้นอยู่ 62%
แม้จะยังสร้างรายได้ให้แสนสิริเพียงเล็กน้อย หากเทียบกับธุรกิจอสังหาฯในมือที่มีสินทรัพย์รวมกว่า 1.2 แสนล้านบาท แต่ “เศรษฐา ทวีสิน” ก็ยังมองโอกาสขยายธุรกิจนี้ ซึ่งเป็นหมุดหมายใหม่ในการก้าวสู่ธุรกิจ New S Curve
“เศรษฐา ทวีสิน” ประธานกรรมการ Standard International (สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล) เปิดใจถึงการขยายพอร์ตธุรกิจของสแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเครือโรงแรม The Standard ว่า กลุ่มแสนสิริ ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 62% ของสแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งรายได้จากธุรกิจโรงแรมวันนี้แม้จะน้อยมาก
เมื่อเทียบกับรายได้จากธุรกิจทั้งหมดของแสนสิริ โดยรายได้ปีที่แล้วอยู่ที่ราว 30,000 ล้านบาท กว่า 90% มาจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่เราก็มองว่าการลงทุนถือหุ้นในสแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล จะช่วยสร้างรายได้ประจำสมํ่าเสมอ (Returning Income) ให้กลุ่มแสนสิริได้เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่กลุ่มแสนสิริมีรายได้จากธุรกิจอื่นๆ (รวม เดอะ สแตนดาร์ด) อยู่ ที่ 10% หรือราว 2,500 ล้านบาท
รวมทั้งยังเป็นการบริหารความเสี่ยงที่จะทำให้แสนสิริมีรายได้สมํ่าเสมอ ทำให้งบดุล ดูดี ไม่ใช่แค่ธุรกิจพัฒนาอสังหา ริมทรัพย์ ที่เป็นลักษณะของการซื้อมาแล้วขายไป ซึ่งการลงทุนธุรกิจอื่นๆ เราจะเน้นร่วมกันพันธมิตรในการพัฒนาธุรกิจมากกว่า เพื่อบริหารความเสี่ยง
โดยในส่วนของธุรกิจโรงแรมเรามองว่าแนวโน้มการท่องเที่ยวของโลกจะยังดีมากในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เพราะยังไงจีนก็ต้องเปิดประเทศ การเดินทาง อีกทั้งคนเริ่มชินและใช้ชีวิตอยู่กับโควิดได้แล้ว
อีกทั้งการท่องเที่ยวทั่วโลกในขณะนี้ก็กลับมาขยายตัวอีกครั้ง หลังข้อจำกัดต่างๆ ด้านการท่องเที่ยวถูกยกเลิกไป ซึ่งรายได้จากสแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล เติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 128% ด้วยโครงการต่างๆ ที่เติบโตขึ้นมากถึง 48% ในปี 2565
ปัจจุบันเดอะสแตนดาร์ด มีโรงแรมในมือ 11 แห่ง ภายใต้ 3 แบรนด์ คือ The Standard 8 แห่ง Bunkhouse 9 แห่ง และ The Peri 2 แห่ง โรงแรมส่วนใหญ่เป็นการรับบริหาร มีที่เราลงทุนเอง 3 แห่ง คือ เดอะสแตนดาร์ด หัวหิน และ The Peri ที่หัวหิน และเขาใหญ่ ที่เหลือเป็นการรับบริหาร
โดยเฉพาะโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ด แบงค็อก มหานคร ซึ่งเป็นโรงแรมแฟล็กชิพของแบรนด์ The Standard ที่แรกในเอเชีย ที่เปิดให้บริการไปเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2565 และจะเปิดตัวโรงแรมอย่างเป็นทาง การในวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ซึ่งจะเป็นการเปิดตัวโรงแรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งทางเจ้าของโรงแรมอย่างคิงเพาเวอร์ ก็ทุ่มสุดตัว เพื่อให้โรงแรมนี้เป็นความภูมิใจของประเทศ
การเปิดโรงแรม เดอะ สแตนดาร์ด แบงค็อก มหานคร นับว่าได้รับการตอบรับอย่างดีจากความต้องการของตลาด มาก โดยเฉพาะในส่วนของห้องอาหารระดับท็อป อย่าง “Ojo” และ “Mott32” ที่ถูกสำรองที่นั่งเต็มไปล่วงหน้าอย่างน้อย 2 เดือน และห้องพัก มียอดการจองเฉลี่ยในเดือนธ.ค.นี้อยู่ที่ 87% ม.ค.ปีหน้ายอดจองล่วงหน้าอยู่ที่ 70% มีการเติบโตของรายได้จากห้องพักที่ขายได้สูงถึง 120%
รวมไปถึงระบบสมาชิกของฟิตเนส ที่ The Standard GYM ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งรายได้จาก การขายอาหารและห้องพัก อยู่ที่ 50:50 แตกต่างทั่วโลกที่ส่วนใหญ่รายได้จากห้องพักจะอยู่ที่ 70% และอาหารอยู่ที่ 30%
จุดเด่นของ เดอะ สแตน ดาร์ด คือ เราไม่เหมือนโรงแรมเชนทั่วไป ผมไม่มีแบรนด์บุ๊ก ที่ทุกโรงแรมต้องทำเหมือนกันหมด แต่สำหรับ เดอะ สแตนดาร์ด การดีไซน์ สถาปนิก เราเน้นโลคัล เพื่อสร้างโรงแรมในแต่ละแห่งให้เป็นยูนีค เป็นผลงาน One Piece หนึ่งเดียว เพื่อสร้างภาคภาคภูมิใจในจุดขายที่ไม่เหมือนใคร
เพราะรูปแบบการท่องเที่ยวในยุคปัจจุบันคนจะมองหาประสบการณ์ที่จะได้รับเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเดอะ สแตนดาร์ด จะมีเอกลักษณ์ความแตกต่าง มีความนอกกรอบความสนุก สนาน มีความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร ทั้งในด้านที่พัก การท่องเที่ยว อาหาร และไนท์ไลฟ์
นอกจากนี้ในอีก 3 ปี ข้างหน้า ยังอยู่ระหว่างการเพิ่มจำนวนโรงแรมภายใต้การรับบริหารใน 3 แบรนด์นี้ ทั่วโลกอีก 27 แห่ง ได้แก่
แบรนด์ The Standard เพิ่มอีก 20 แห่ง ซึ่งขณะนี้เซ็นสัญญารับบริหารแล้ว 11 แห่ง ที่จะเปิดในปีหน้า อาทิ สิงคโปร์, เมลเบิร์น รวมถึงมีโรงแรมในพัทยา เปิดปี 2567 และมอง เป้าหมายไว้ที่ ภูเก็ต และสมุย ด้วย
รวมถึงยังทยอยเปิดต่อเนื่อง ที่ลิสบอน, บรัสเซลส,มิลาน, ดับลิน, เวกัส, โทรอนโต, ทูลัม เม็กซิโก, ออสติน ส่วนแบรนด์ The Peri มีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 1 แห่งในกรุงเทพฯ ที่จะเป็นแฟล็กชิพของแบรนด์นี้ในเอเชีย และยังมีเป้าหมายในเมืองสำคัญในเวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย
ขณะที่แบรนด์ Bunk house มีเพิ่มอีก 6 แห่งที่เซ็นสัญญารับบริหารแล้ว ทั้งที่เชียงใหม่, เม็กซิโก, เคนทักกี, เท็กซัส, สหราชอาณาจักร และเราก็มองการขยายแบรนด์นี้เข้าสู่เมืองรอง เพราะขนาดโรงแรมจะอยู่ที่ 20-80 ห้อง
ดังนั้นรวมแล้ว เดอะสแตนดาร์ด จะมีโรงแรมในพอร์ตโฟลิโอ ของเดอะ สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล รวมกว่า 38 แห่งในปี 2568
ขณะเดียวเดียวกันยังมีการพัฒนาแบรนด์ใหม่ คือ “The Standard Residence” (เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเด้นซ์) เพื่อรับบริหารจัดการโครงการเรสซิเด้นซ์ต่างๆ ที่ต้องการการบริหารจัดการพื้นที่ส่วนกลาง และการออกแบบต่างๆ ตามสไตล์ของ The Standard
โดยเริ่มแห่งแรกที่ไมอามี ที่ตอนนี้ขายได้แล้ว 70-80%จากนั้นก็จะมีที่ลิสบอน โปรตุเกส เป็นแห่งที่ 2 ติดกับโรงแรม เดอะ สแตนดาร์ด ลิสบอน ที่อยู่ในแผนเตรียมจะเปิดให้บริการด้วย รวมทั้งแสนสิริ ยังมีแผนที่จะลงทุนเรสซิเด้นซ์ ในพื้นที่ 10 ไร่ ติดหาดหัวหิน ที่น่าจะเปิดตัวในปีหน้า ก็จะใช้แบรนด์ The Standard Residence เข้าไปรับบริหารด้วยเช่นกัน ทั้งหมดเป็นการขยายธุรกิจโรงแรมของกลุ่มแสนสิริที่จะเกิดขึ้น