"อนุทิน"กลับลำต่างชาติเข้าไทย ไม่ต้องโชว์วัคซีน หลังถูกโวยหนัก
"อนุทิน"กลับลำยันต่างชาติเข้าไทย ไม่ต้องโชว์ผลวัคซีนโควิด หลังท่องเที่ยวโวยหนัก รัฐเปลี่ยนกฏเข้าไทยกระทันหัน กระทบธุรกิจหนัก นักท่องเที่ยวต่างชาติทยอยยกเลิกเข้าไทย
จากกรณีบริษัทนำเที่ยวต่าง ๆ ทั่วโลกแสดงความไม่พอใจ หลังรัฐบาลไทยปรับเปลี่ยนมาตรการสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะผู้เดินทางเข้าประเทศไทยแบบกะทันหันโดยเฉพาะการกำหนดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อย 2 เข็ม มีผลตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2566 เป็นต้นไป ทำให้ภาคเอกชนท่องเที่ยวได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้ทบทวน
เนื่องจากมีบริษัททัวร์ได้รับผลกระทบอย่างมากเพราะมีการขายทัวร์ไปล่วงหน้าแล้วเมื่อรัฐบาลไทยปรับกฏเข้าประเทศใหม่ก่อนหน้านี้โดยกำหนดให้ต่างชาติเข้าไทยต้องแสดงผลการฉีดวัคซีน2 เข็ม ทำให้นักท่องเที่ยวที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนไม่สามารถเดินทางได้ กระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัททัวร์จากต่างประเทศที่จะไม่สามารถคืนเงินให้แก่ลูกค้าได้
ล่าสุดวันนี้ (วันที่ 9 มกราคม 2566) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ผู้บริหารภายใต้กระทรวง ฯ ร่วมต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมายังประเทศไทยหลังสาธารณรัฐประชาชนจีนประกาศเปิดประเทศ
สำหรับเที่ยวบินจากสาธารณรัฐประชาชนจีนที่เดินทางมาครั้งนี้ คือ เที่ยวบิน MF833 เดินทางมาจากเมืองเซี่ยเหมิน ซึ่งมีผู้โดยสารทั้งหมด 286 คน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังการต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนว่าเมื่อช่วงเช้าของวันนี้มีการประชุมคณะกรรมการวิชาการภายใต้นโยบายโรคติดต่อคณะกรรมการฯได้เห็นว่ามีการฉีดวัคซีนในไทยมากแล้วประเทศจีนก็ฉีดวัคซีนมากแล้ว และประเทศอื่นๆทั่วโลกก็ฉีดไปมากแล้ว
หากมาตรการเดินทางเข้าไทยไปมุ่งเน้นฉีดวัคซีน จะทำให้เกิดความไม่สะดวกคล่องตัวเลยมีมติว่า"ไทยจะไม่มีการตรวจ vaccine certificate ก่อนเข้าประเทศ"จะใช้มาตรการเดิมตามที่ได้ปฏิบัติก่อนหน้านี้ มีผลตั้งแต่เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ ดังนั้นนักท่องเที่ยวต่างชาติทุกชาติที่เดินทางเข้าไทยก็จะไม่มีการตรวจวัคซีน
ส่วนประเทศใดมีข้อกำหนดให้ผู้เดินทางต้องมีผลตรวจ RT-PCR เป็นลบก่อนกลับเข้าประเทศ ต้องให้ซื้อประกันสุขภาพเดินทางที่ครอบคลุมการตรวจรักษาโรคโควิด 19 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพหากตรวจพบเชื้อหรือป่วยเมื่อเดินทางมาไทย
ทุกประเทศในโลกนี้ก็มีระบาดของโควิด-19 อยู่ วันนี้ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวจีน นักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางเข้าไทย ส่วนใหญ่เขาก็ฉีดวัคซีนมาแล้ว ถึงกล้าเดินทางเที่ยวต่างประเทศ ขณะที่คนไทยมีภูมิคุ้มกันฉีดวัคซีน แม้จะติดเชื้อแต่เราวัคซีน 4 เข็ม ก็จะไม่มีอาการรุนแรง เสียชีวิต และปัจจุบันโควิดก็เป็นเพียงโรคติดต่อเฝ้าระวัง และทางกรมวิชาการทางการแพทย์ก็ยื่นยันว่าคนส่วนใหญ่ทั้งคนไทยและต่างชาติที่มาเที่ยวก็มีภูมิคุ้มกัน
เราก็เฝ้าระวังได้ และเรามียังมีเวชภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ ยารักษาโรค มีวัคซีน ดูแลผู้ป่วย ถ้ามาติดเชื้อโควิดในที่ไทย เราก็ดูแลรักษาได้ และตอนนี้คนติดเชื้อโควิด มันไม่เหมือน 2 ปีก่อน ต้องเข้าโรงพยาบาล หรือกักตัวอย่างในอดีต และปัจจุบันคนติดเชื้อโควิด-19 มากกว่า 95% ไม่แสดงอาการรุนแรง
ส่วนกรณีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้นักท่องเที่ยวต่างชาตินั้น ถ้าสมัครใจก็ฉีดได้ แต่ต้องจ่ายค่าวัคซีนและค่าบริการ ที่เบื้องต้นขอให้มาใช้บริการที่สถานประกอบการของรัฐก่อน จากนั้นจะหารือกับโรงพยาบาลเอกชนว่าจะเก็บค่าใช้จ่ายวัคซีนอย่างไรบ้าง
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า สำหรับในวันนี้จะมีเที่ยวบินขาเข้าจากจีน เข้าไทย ทั้งหมด 15 เที่ยวบิน รวมจำนวนผู้โดยสารราว 3,465 คน คาดการณ์ว่าตลอดปีนี้จีนผ่านอากาศยานเข้าสนามบินทอท.ประมาณ 7-10 ล้านคน ก่อนโรคระบาด 20 ล้านคน และจะบูรณาการการทำงานของ 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในการให้บริการนักท่องเที่ยว
โดยจัดตั้งศูนย์ประสานงานร่วม 3 กระทรวง (Tourist Help Center) ในการประสานงาน ติดตามข้อมูล แก้ไขปัญหา ตลอดจนให้ความช่วยเหลืออำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวในระยะต่อไป ซึ่งแนวทางการรับนักท่องเที่ยวเป็นไปตามมาตรการด้านสาธารณสุข
ทั้งนี้ จากข้อมูลจำนวนผู้โดยสารของ ทอท. คาดการณ์ว่าตลอดปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเดินทางผ่านท่อากาศยานของท่าอากาศยานไทย ประมาณ 7 - 10 ล้านคน จากเดิมที่ก่อนการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 มีจำนวน 20.5 ล้านคน
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมมีความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในทุกท่าอากาศยาน โดยมีขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารได้อย่างเพียงพอ โดยได้กำชับให้ทุกหน่วยงานในสังกัดอำนวยความสะดวกและการให้บริการนักท่องเที่ยวและผู้เดินทางในทุกมิติ ตั้งแต่นักท่องเที่ยวเดินทางมาถึงประเทศไทย โดยได้เน้นย้ำให้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น โดยคำนึงถึงความสะดวก รวดเร็วและความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นสำคัญ
สำหรับปัญหากระเป๋าสัมภาระล่าช้า และการให้บริการรถสาธารณะ ที่พบก่อนหน้านี้ กระทรวงคมนาคมได้เร่งแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน ปัจจุบันพบว่า ค่าเฉลี่ยเวลาในการลำเลียงกระเป๋าสัมภาระจากเครื่องบินจนถึงผู้โดยสาร First bag ใช้เวลาเฉลี่ย 27 นาที และ Last bag ใช้เวลาเฉลี่ย 44 นาที ซึ่งมีความรวดเร็วขึ้น
สำหรับการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะ ปัจจุบันได้เพิ่มจำนวนการให้บริการให้เพียงพอกับความต้องการของผู้ใช้บริการ และจัดระเบียบ ขยายพื้นที่ เพื่อลดความแออัดของผู้มาใช้บริการ ซึ่งผู้โดยสารใช้เวลารอคิวใช้บริการประมาณ 10 นาทีต่อคน
ทั้งนี้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเดินหน้าเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยมีแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยั่งยืน เพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น