บมจ. เอเชีย เอวิเอชั่น (“AAV”) ผู้ถือหุ้นทั้งหมดใน บจ.ไทยแอร์เอเชีย (TAA) ประกาศผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2565 มีรายได้รวม 12,498.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 481 เทียบกับปีก่อน และร้อยละ 155 เทียบกับไตรมาสก่อน
หลังขนส่งผู้โดยสาร 4.06 ล้านคน รายได้จากบริการเสริมต่อคน เพิ่มเป็นสถิติสูงสุดอยู่ที่ 387 บาท หนุนจากรายได้ค่าน้ำหนักกระเป๋าและบริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน ตามการฟื้นตัวของเที่ยวบินทั้งในและระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ AAV มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 3,712.0 ล้านบาท จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าในระหว่างไตรมาส ทำให้มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,114.4 ล้านบาท หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ จะทำให้มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (“EBITDA”) อยู่ที่ 1,628.9 ล้านบาท กลับมาเป็นบวกอีกครั้งในรอบ 11 ไตรมาส สะท้อนการฟื้นตัวต่อเนื่องของธุรกิจ
พร้อมกลับมาให้บริการเส้นทางภายในประเทศด้วยปริมาณที่นั่ง (Capacity) ร้อยละ 90 เมื่อเทียบกับก่อนโควิด-19 ในขณะที่เส้นทางระหว่างประเทศกลับมาร้อยละ 49 (หรือร้อยละ 69 หากไม่รวมประเทศจีน) อัตราขนส่งผู้โดยสารแข็งแกร่งอยู่ที่ร้อยละ 90 สูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2562 พร้อมนำเครื่องบินมาปฏิบัติการบิน 42 ลำ จากฝูงบินสุทธิทั้งหมด 54 ลำ ณ สิ้นปี
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาผลประกอบการตลอดปี 2565 AAV มีรายได้รวม 18,290.8 ล้านบาท โดยมีค่าใช้จ่ายรวม 26,766.4 ล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนและตราสารอนุพันธ์จำนวน (1,460.0) ล้านบาท
ทำให้มีผลขาดทุนสุทธิ (8,214.4) ล้านบาท แต่ดีขึ้นกว่าปีก่อนที่มีผลขาดทุน (11,958.0) ล้านบาท บรรลุเป้าหมายขนส่งผู้โดยสารตลอดปีรวม 9.95 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขนส่งผู้โดยสารเพียง 2.93 ล้านคน มีอัตราขนส่งผู้โดยสารอยู่ที่ร้อยละ 84
ในขณะที่สถิติความตรงต่อเวลาสูงกว่าร้อยละ 92 ถือเป็นสายการบินที่ตรงต่อเวลาสูงสุดในประเทศไทย การันตีจาก 2 สถาบัน โดยติดอันดับ 4 สายการบินที่ตรงต่อเวลาที่สุดในโลก จัดอันดับโดย OAG และติดอันดับ 3 สายการบินราคาประหยัดที่ตรงเวลาที่สุดในโลก จัดอันดับโดย Cirium ตอกย้ำการไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาสู่มาตรฐานบริการระดับโลก
นอกจากนี้ TAA ยังเน้นเรื่องการเติบโตอย่างยั่งยืน ชูแผนปฏิบัติการบินสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปีที่ผ่านมามากกว่า 7,000 ตัน หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นโกงกางใบใหญ่กว่า 514,000 ต้น รวมทั้งร่วมโครงการวิภาวดีฯ ไม่มีขยะ สำหรับการจัดการขยะไม่อันตราย ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง
นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอเชีย เอวิเอชั่น และ บจ. ไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2565 สะท้อนการฟื้นตัวที่ชัดเจนของธุรกิจ โดยเฉพาะการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพทำให้ EBITDA กลับมาเป็นบวกอีกครั้งในรอบ 11 ไตรมาส นับตั้งเเต่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
จากแนวโน้มการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในครึ่งปีหลังของปี 2565 ที่ตลาดภายในประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยสายการบินได้ทำงานร่วมกับภาครัฐเเละการท่องเที่ยวเเห่งประเทศไทยอย่างเต็มที่ และเปิดรับโอกาสสำหรับตลาดเส้นทางระหว่างประเทศที่ไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบตั้งเเต่ 1 ตุลาคม 2565 สอดคล้องกับประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคที่ผ่อนคลายข้อกำหนดการเดินทาง
เราผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดมาเเล้ว ทั้งสถานการณ์โรคระบาด ภาวะราคาน้ำมันที่พุ่งสูงในรอบทศวรรษจากสถานการณ์สงคราม และค่าเงินทั่วโลกที่ผันผวนตลอดทั้งปี โดยในปี 2566 เชื่อมั่นว่าจะเป็นปีที่ดีกว่าปี 2565 โดยเฉพาะจากการที่จีนเปิดประเทศตั้งเเต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา
ณ สิ้นเดือนมีนาคมนี้ ไทยแอร์เอเชียจะเปิดเส้นทางบินไปยังประเทศจีนแล้ว 7 เส้นทาง สู่กวางโจว ฉงชิ่ง เซินเจิน คุนหมิง หางโจว นานจิง ฉางซา คิดเป็นกว่า 40 เที่ยวบินต่อสัปดาห์
พร้อมเเผนเปิดเส้นทางเมืองอื่นๆ เเละเพิ่มความถี่เที่ยวบินต่อเนื่องตลอดทั้งปี ภารกิจสำคัญของปีนี้คือการกลับไปสู่หรือใกล้เคียงระดับที่เราเคยทำได้ก่อนโควิด-19 ทั้งในแง่จำนวนผู้โดยสารและการบริหารต้นทุน พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายในการเร่งกลับมาทำกำไรและสร้างกระแสเงินสดให้ได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ นายสันติสุข เน้นย้ำว่า TAA มุ่งมั่นในการเป็นสายการบินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยร่วมมือกับสำนักงานการบินพลเรือนติดต่อกันเป็นปีที่ 4 สำหรับโครงการการชดเชยและลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภาคการบินระหว่างประเทศ (CORSIA) เพื่อบรรลุเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ในปี 2593
สำหรับปี 2566 TAA พร้อมกลับมาเติบโตอย่างเเข็งเเกร่ง โดยตั้งเป้าขนส่งผู้โดยสารที่ 20 ล้านคน จากเเรงหนุนเศรษฐกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ เเละตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมา ในขณะที่ตลาดอาเซียนและเอเชียใต้ยังคงมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
นอกจากนี้สายการบินยังวางแผนขยายเครือข่ายบินในเส้นทางใหม่ๆ อาทิ จาการ์ตา (อินโดนีเซีย) กาฐมาณฑุ (เนปาล) มะนิลา (ฟิลิปปินส์) และโคลัมโบ (ศรีลังกา) โดยยังรักษาฝูงบินจำนวนมากที่สุดในตลาดไว้ที่ 53 ลำ และพร้อมนำเครื่องบินทุกลำมาปฏิบัติการบินเเละเพิ่มชั่วโมงการปฏิบัติการบินไม่ต่ำกว่า 12.5 ชั่วโมงต่อลำต่อวัน
รวมทั้งให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนแก่ผู้โดยสารมากขึ้น และแสวงหาความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีเป้าหมายในการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเพื่อร่วมการยกระดับห่วงโซ่คุณค่าแบบบูรณาการ
โดยแอร์เอเชียอะคาเดมีได้ริเริ่มนำเสนอหลักสูตรการดูงาน ESG In Action และกิจกรรมสัมพันธ์ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (ESG) ให้กับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนรวมถึงสถาบันการศึกษาต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืนในระยะยาว