อื้อหือ! ไมเนอร์ จะมีโรงแรมในอีก 3 ปีข้างหน้ารวม 600 แห่งทั่วโลก

04 มิ.ย. 2566 | 06:07 น.

ไมเนอร์ โฮเทล เดินหน้าลงทุนรับท่องเที่ยวโลกฟื้นตัว ขยายโรงแรมใหม่ในพอร์ตโฟลิโอที่อยู่ระหว่างพัฒนา ไม่ต่ำกว่า 65 แห่ง รวม 13,000 ห้อง ภายใน 3 ปีนี้ ทั้งลงทุนเองและรับบริหาร ดันขยายพอร์ตธุรกิจโรงแรมรวม 600 แห่งในปี 2568

ไมเนอร์ โฮเทล จัดว่าเป็นกลุ่มเชนโรงแรมสัญชาติไทยรายใหญ่ ติด “อันดับ 22” ของเชนโรงแรมที่มีจำนวนห้องพักมากที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของนิตยสาร HOTELS เมื่อไตรมาส 3 ปี 2565 ล่าสุดประกาศเดินหน้าขยายการลงทุนรับท่องเที่ยวโลกฟื้นตัว ตั้งเป้าขยายโรงแรมใหม่ในพอร์ตโฟลิโอ ไม่ต่ำกว่า 65 แห่ง รวมจำนวน 13,000 ห้อง ภายใน 3 ปีนี้ ทั้งลงทุนเองและรับบริหาร

 

ส่งผลให้ภายในปี 2568 ไมเนอร์จะมีโรงแรมทั้งหมดในมือไม่น้อยกว่า 595 แห่ง เพิ่มจากปัจจุบัน ที่มีโรงแรมเปิดให้บริการแล้ว รวม 530 แห่ง ใน 56 ประเทศ รวมจำนวนห้องพักกว่า 76,000 ห้อง ภายใต้ 8 แบรนด์โรงแรม

ได้แก่ อนันตรา (Anantara) อวานี (AVANI) โอ๊คส์ (OAKS) ทิโวลี (Tivoli) เอ็นเอช คอลเลคชั่น (NH Collection) เอ็นเอช โฮเทลส์ (NH Hotels) นาว (nhow) เอเลวาน่า(Elewana) และแบรนด์อื่นๆ ที่ว่าจ้างให้เชนโรงแรมอื่นบริหาร เช่น แมริออท, โฟร์ซีซันส์, เซ็นต์ รีจิส และ เรดิสัน บลู เป็นต้น

นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไมเนอร์ โฮเทลส์ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่าจากสถานการณ์ท่องเที่ยวของโลกที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ไมเนอร์ โฮเทลส์ ก็มองโอกาสในการขยายโรงแรมใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ดิลิป ราชากาเรีย

โดยคาดว่าภายในอีก 3 ปีข้างหน้า จะมีจำนวนโรงแรมในพอร์ตโฟลิโอเพิ่มขึ้นรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 595 แห่ง ใน 59 ประเทศ ทั้งลงทุนเองและรับบริหาร ซึ่งในขณะนี้มีโรงแรมที่ยืนยันแล้วและอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ราว 65 แห่ง รวมจำนวนห้องพักกว่า 13,000 ห้อง ที่มีกำหนดจะเปิดให้บริการภายในปี 2568
 

ทั้งนี้เป็นโรงแรมใหม่ ภายใต้แบรนด์ อนันตรา ได้แก่ 6 แห่ง ใน จีน อินเดีย อินโดนีเซีย โปรตุเกส ไทย (เกาะยาวใหญ่ จ.พังงา และสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์

อื้อหือ! ไมเนอร์  จะมีโรงแรมในอีก 3 ปีข้างหน้ารวม 600 แห่งทั่วโลก

โรงแรมใหม่ ภายใต้แบรนด์อวานี 11 แห่ง ใน บาห์เรน จีน โคลัมเบีย เยอรมันนี อิตาลี มัลดีฟส์ เม็กซิโก เนเธอร์แลนด์ ซีเชลส์ สเปน เวียดนาม โรงแรมใหม่ ภายใต้แบรนด์โอ๊คส์ 2 แห่งในจีน และอียิปต์

อื้อหือ! ไมเนอร์  จะมีโรงแรมในอีก 3 ปีข้างหน้ารวม 600 แห่งทั่วโลก

รวมถึงโรงแรมแบรนด์เอ็นเอช โฮเทลส์ 4 แห่ง ในจีน เม็กซิโก โปรตุเกส สวิสเซอร์แลนด์ โรงแรมใหม่ภายใต้แบรนด์เอ็นเอช คอลเลคชั่น 7 แห่ง ใน จีน เยอรมันนี อิตาลี โปรตุเกส กาตาร์ ไทย (เชียงใหม่) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โรงแรมใหม่ ภายใต้แบรนด์นาว 3 แห่ง ใน ชิลี อิตาลี เปรู และโรงแรมใหม่ภายใต้แบรนด์ทิโวลี 3 แห่ง ใน บาห์เรน โปรตุเกส สเปน

 นายดิลิป กล่าวต่อว่า โรงแรมใหม่ทั้ง 65 แห่ง เป็นโรงแรมที่ไมเนอร์ลงทุนเอง 7 แห่ง ที่เหลือเป็นการรับบริหาร และในจำนวนนี้มี 3 ประเทศใหม่ที่ไมเนอร์เข้าไปเปิดโรงแรมเป็นครั้งแรก ภายใต้การรับบริหาร ได้แก่ บาห์เรน อียิปต์ และเปรู

โดยกลยุทธในการสร้างรายได้ในกลุ่มโรงแรมของไมเนอร์ คือ รักษาสมดุลการเพิ่มรายได้และการทำกำไร ระหว่างรายได้จากธุรกิจที่ไมเนอร์ ลงทุนเอง (ASSET Heavy) และรายได้จากโรงแรมที่รับบริหาร (ASSET Light)

อื้อหือ! ไมเนอร์  จะมีโรงแรมในอีก 3 ปีข้างหน้ารวม 600 แห่งทั่วโลก

ดังนั้นนอกจากการลงทุนโรงแรมเองแล้ว ไมเนอร์ โฮเทลส์ มองโอกาสขยายรับบริหารโรงแรมมากขึ้น เพื่อขยายฐานรายได้เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่ ณ ไตรมาส 1 ปี 2566 ไมเนอร์ โฮเทลส์มีรายได้จากธุรกิจอยู่ที่ 24,171 ล้านบาท โดยเป็นโรงแรมที่ไมเนอร์เป็นเจ้าของและเช่าดำเนินธุรกิจคิดเป็นสัดส่วน 82% และรายได้จากรับบริหารโรงแรมอยู่ที่ 2% โดยเราจะโฟกัสการร่วมมือกับพันธมิตรในการร่วมลงทุนเพื่อขยายโรงแรมใหม่

ไม่ว่าจะเป็นการร่วมลงทุนกับกลุ่มฟันยาร์ด โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ท เพื่อขยายแบรนด์โรงแรมของไมเนอร์ ในประเทศจีน โดยฟันยาร์ด มีแผนจะพัฒนาโรงแรมในจีนรวมกว่า 100 แห่งภายใน 5 ปีนี้  ขณะนี้เปิดให้บริการแล้ว 8-9 แห่ง ซึ่งไมเนอร์ ได้นำแบรนด์โอ๊ค ไปเปิดที่เฉินตู และเอ็นเอช โฮเทลส์ ไปเปิดที่ซีอาน และมีโรงแรมในจีนที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีกกว่า 30 แห่ง

การนำแบรนด์เอ็นเอช ที่มีชื่อเสียงในยุโรป และแบรนด์โอ๊ค ที่มีชื่อเสียงในออสเตรีย รวมถึงแบรนด์อื่นๆที่จะตามมา เข้าไปขยายในจีน เพราะมองว่าจีนเป็นตลาดใหญ่ โดยคนจีนรู้จักแบรนด์อนันตราอยู่แล้ว การเข้าไปขยายแบรนด์ใหม่ๆในจีน ก็จะทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ส่งผลดีต่อการเข้าพักในแบรนด์ต่างๆของไมเนอร์ โฮเทลส์ของคนจีนที่จะตามมาในประเทศอื่นๆด้วย

อื้อหือ! ไมเนอร์  จะมีโรงแรมในอีก 3 ปีข้างหน้ารวม 600 แห่งทั่วโลก

รวมไปถึงไมเนอร์ โฮเทลส์ ยังได้ร่วมลงทุนกับอาบูดาบี ฟันด์ (ABU DHABI FUND FOR DEVELOPMENT) หรือ ADFD ในการขยายแบรนด์โรงแรมหลายแห่ง มูลค่าการลงทุนกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา  เช่น มัลดีฟส์ 

ทั้งยังร่วมเป็นพันธมิตรกับกองทุนเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยว (Tourism Development Fund - TDF) ของประเทศซาอุดีอาระเบีย ขยายโรงแรมหลายในซาอุดีอาระเบียในอีก 2 ปีข้างหน้า

นอกจากการขยายธุรกิจโรงแรมแล้ว ไมเนอร์ โฮเทลส์ ยังได้เข้าไปซื้อกิจการ 100% ใน THE WOLSELEY แบรนด์ร้านอาหารชื่อดังของประเทศอังกฤษ มูลค่าการลงทุน 74 ล้านปอนด์

โดยนำร่องมาเปิดให้บริการในไทยแห่งแรกที่โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ จนถึงสิ้นปีนี้ และมีแผนขยายร้านอาหารแห่งใหม่มูลค่าการลงทุนราว 10 ล้านปอนด์ อาทิ ในดูไบ และซาอุดีอาระเบีย

นายดิลิป กล่าวต่อว่า การท่องเที่ยวทั่วโลกอยู่ในทิศทางบวก ซึ่งในช่วงไตรมาสที่ 2 ไปถึงไตรมาสที่ 4 ปีนี้ตลาดโรงแรมในยุโรปจะเติบโตแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับในไทย ที่ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้ จะแข็งแกร่งขึ้น

เนื่องจากตลาดนักท่องเที่ยวจีนจะเริ่มกลับเข้ามาเดินทางทั่วโลก  โดยที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้รอจีน เพราะมีตลาดใหม่ อย่าง อินเดีย รัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย ที่เข้ามาพัก แต่เมื่อจีนกลับมาก็จะเป็นการช่วยกระตุ้นตลาดได้เพิ่มขึ้น

ปัจจุบันไมเนอร์ มีรายได้จากธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วน 84% และในประเทศอยู่ที่ 14%การทำรายได้ของโรงแรม เราจะให้ความสำคัญกับการผลักดัน “ราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวัน” (ADR) เป็นสำคัญเพื่อผลักดันการเพิ่มรายได้และทำกำไรในระยะยาวในยุคหลังโควิด

หลังจากในไตรมาส 1 ปีนี้ สามารถทำราคา ADR ของโรงแรมที่เป็นเจ้าของและเช่าเอง (Owned & Leased Hotels) ทั่วโลก ซึ่งมีจำนวนห้องพัก 54,408 ห้อง มี ADR เฉลี่ยอยู่ที่ 4,645 บาท เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2562 ก่อนโควิดระบาด นายดิลิป กล่าวทิ้งท้าย