MINT ฟื้นขาดทุน ฟันกำไร Q4/2565 ทะลุ 2.4 พันล้านบาท

23 ก.พ. 2566 | 06:34 น.

อานิสงส์เปิดพรมแดนระหว่างประเทศทั่วโลกหนุนผลประกอบการ“MINT”ไตรมาส 4 ปี 2565 ฟื้นขาดทุน พลิกทำกำไรสุทธิ 2.4 พันล้านบาท เติบโต 44% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 18% จากไตรมาสก่อน

การเปิดพรมแดนระหว่างประเทศทั่วโลกอีกครั้งและการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นหนุนการฟื้นตัวของ 3 ธุรกิจหลัก MINT โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรมในประเทศไทยและมัลดีฟส์ รวมทั้งเครือร้านอาหารระดับโลกภายใต้กลุ่ม Wolseley Group ในประเทศสหราชอาณาจักร ส่งผลให้ปี 2565 MINT มีกำไรจากการดำเนินงาน 2.0 พันล้านบาท

MINT ฟื้นขาดทุน ฟันกำไร Q4/2565 ทะลุ 2.4 พันล้านบาท

ซึ่งพลิกฟื้นจากผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 9.3 พันล้านบาทในปี 2564  หากนับรวมรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว MINT รายงานกำไรสุทธิตามงบการเงินอยู่ที่จำนวน 1.9 พันล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2565 และ 4.3 พันล้านบาทในปี 2565 ซึ่งพลิกฟื้นจากผลขาดทุนตามงบการเงินจำนวน 1.6 พันล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2564 และ 13.2 พันล้านบาทในปี 2564

โดยไมเนอร์ โฮเทลส์มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 1.9 พันล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2565 เติบโต 57% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต  25% จากไตรมาสก่อน จากการเดินทางเพื่อพักผ่อนภายในประเทศและการเดินทางเพื่อธุรกิจที่ช่วยเพิ่มความต้องการโดยรวม โดยรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของกลุ่มโรงแรมในทวีปยุโรปและลาตินอเมริกา ประเทศมัลดีฟส์ และออสเตรเลียยังคงได้รับแรงหนุนจากราคาค่าห้องพักที่เติบโตในระดับที่สูงกว่าระดับก่อนการระบาดของโรค COVID-19 

MINT ฟื้นขาดทุน ฟันกำไร Q4/2565 ทะลุ 2.4 พันล้านบาท

ส่วนรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของกลุ่มโรงแรมในประเทศไทยฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนการระบาดของโรค COVID-19 เป็นครั้งแรกในไตรมาสที่ 4 ปี 2565  จากการเพิ่มขึ้นของราคาค่าห้องพักต่อคืนในเดือนธันวาคม 2565 สูงกว่าระดับก่อนการระบาดของโรค COVID-19 ถึง  9% จากผลการดำเนินงานที่ดีของโรงแรมในกรุงเทพฯ 

 

นอกจากนี้ในไตรมาส 4 ปี 2565 ไมเนอร์ โฮเทลส์ได้เปิดโรงแรม Anantara Plaza Nice ในประเทศฝรั่งเศส และ The Plaza Doha by Anantara ในประเทศกาตาร์ และได้นำแบรนด์เอ็นเอชเข้าสู่ทวีปเอเชียด้วยการเปิดตัว NH Boat Lagoon Phuket Resort ในประเทศไทย ทั้งนี้ เมื่อนับรวมจำนวนโรงแรมที่เปิดใหม่ ไมเนอร์ โฮเทลส์จะมีโรงแรมทั้งหมดจำนวน 531 โรงแรมและ 76,996 ห้อง ครอบคลุม 56 ประเทศ ณ สิ้นปี 2565

 

ขณะที่ ไมเนอร์ ฟู้ดมีผลกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 402 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2565 ปรับตัวดีขึ้นทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนโดยจำนวนลูกค้าที่นั่งรับประทานอาหารภายในร้านที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยและออสเตรเลีย ช่วยลดผลกระทบจากการชะลอตัวของการดำเนินงานในประเทศจีนจากมาตรการจำกัดการแพร่ระบาดระลอกใหญ่ทั่วประเทศ อย่างไรก็ตามประเทศจีนได้มีการฟื้นตัวเป็นรูปตัววีหลังยกเลิกมาตรการการปิดพื้นที่ภายในประเทศและการกลับมาเปิดพรมแดนระหว่างประเทศอีกครั้ง 

 

แบรนด์หลายแบรนด์ของไมเนอร์ ฟู้ดมีการขยายรูปแบบสาขาที่ปรับให้เหมาะสมกับแบรนด์ สถานที่ตั้ง และการเจาะกลุ่มลูกค้า เช่นแดรี่ ควีนได้นำร่องในการเปิดป๊อปอัพสโตร์ในประเทศไทยในไตรมาส 4 ปี 2565  ซึ่งจะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าและการทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางขึ้น ส่วน เบอร์เกอร์ คิงเปิดตัวแฟล็กชิปสโตร์แห่งใหม่ล่าสุดภายใต้แนวคิด “Restaurant of the Future” ในประเทศไทยที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีขั้นสูงที่มีแผนจะนำไปใช้กับร้านอื่นๆ ต่อไปเพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของร้าน

 

นอกจากนี้ MINT ยังให้ความสำคัญกับการลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งลดลงมาอยู่ที่ 1.17 เท่า ณ สิ้นปี 2565 อีกทั้ง MINT ได้สร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานส่วนของผู้ที่หุ้นผ่านการฟื้นตัวของธุรกิจและการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ ในขณะที่จำนวนหนี้สินส่วนที่มีภาระลดลงอย่างต่อเนื่องจากการชำระคืนเงินกู้ที่มีอยู่และการหมุนสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ผ่านการขายและเข้าบริหารของโรงแรม Tivoli Coimbra

 

อย่างไรก็ตามบริษัทได้กลับมาวางแผนกลยุทธ์ระยะยาวอย่างเต็มรูปแบบใหม่อีกครั้งภายหลังสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 และได้ปรับแผนกลยุทธ์ดังกล่าวให้สั้นลงโดยครอบคลุมระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2565-2568 เพื่อบรรลุเป้าหมายทางกลยุทธ์และทางการเงินในระดับสูง,การเติบโตของธุรกิจผ่านความแข็งแกร่งของแบรนด์ การมีทรัพย์สินที่มีคุณภาพสูง และพันธมิตรทางธุรกิจที่สร้างกำไร ในขณะที่เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและปรับโครงสร้างธุรกิจไปสู่ดิจิทัล 

 

โดยกลยุทธ์ในการผลักดันการเติบโตดังกล่าวจะถูกขับเคลื่อนโดยทีมงานที่มีประสบการณ์ ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและการบริหารจัดการทรัพยากรทางการเงินอย่างรอบคอบ รวมทั้งเสนอจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดสำหรับปี 2565 ในอัตราร้อยละ 30 ของกำไรจากการดำเนินงานปี 2565 นอกจากนี้ จากสภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานที่ฟื้นตัวในทุกธุรกิจ บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลอีกครั้งในปีนี้ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจที่สิ้นสุดดังกล่าวจะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการและผู้ถือหุ้น

นายดิลลิป ราชากาเรีย  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT

นายดิลลิป ราชากาเรีย  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT เปิดเผยว่า ในปี 2566 และปีต่อๆ ไป บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่การคว้าโอกาสใหม่ๆ เพื่อปลดล็อกและเร่งการเติบโตและเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ในขณะที่ยังคงรักษาตำแหน่งของบริษัทในฐานะผู้นำในตลาดระดับโลก เราได้กลับมาเติบโตอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง และ MINT อยู่ในฐานะที่ดีที่จะคว้าโอกาสที่น่าตื่นต้นที่รอเราอยู่ข้างหน้า”