ททท.ดัน 3,000 อีเว้นท์ท่องเที่ยวทั่วไทย กระตุ้นเที่ยวส่งท้ายปี

03 พ.ย. 2566 | 01:36 น.
อัปเดตล่าสุด :03 พ.ย. 2566 | 01:58 น.

ททท.ดัน 3,000 อีเว้นท์ท่องเที่ยวทั่วไทยกระตุ้นท่องเที่ยวส่งท้ายปี ทั้งหารือกระทรวงวัฒนธรรม ดึงงานเฟสติวัลระดับโลกเข้ามาจัดในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ดันรายได้เข้าเป้า 2.38 ล้านบาท

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ในช่วง 2 เดือนที่เหลือของปี 2566 (พฤศจิกายน-ธันวาคมนี้) ททท.มีแผนกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยททท.ร่วมมือกับพันธมิตรในการจัดกิจกรรมท่องเที่ยวกว่า 3,000 กิจกรรมกระจายแบบทั่วประเทศ

ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์

โดยส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมที่ททท.นำมายกระดับใหม่ให้ได้มาตรฐานระดับโลกมากขึ้น อาทิ งานวันลอยกระทง ที่ใช้งบประมาณของท้องถิ่นในการดำเนินการเป็นหลัก จึงไม่ได้ส่งผลกระทบกับงบประมาณที่ล่าช้าออกไป รวมถึงมีการหารือร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อดึงงานเฟสติวัลระดับโลกเข้ามาจัดในประเทศไทยเพิ่มขึ้น

ททท.ยังคงเป้าหมายการท่องเที่ยวในปี 2566 สร้างรายได้รวมการท่องเที่ยวที่ 2.38 ล้านล้านบาท คิดเป็นการฟื้นตัว 80% เมื่อเทียบกับปี 2562 จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 25-28 ล้านคน โดยวางเป้ารายได้ไว้ที่ 1.6 ล้านล้านบาท และนักท่องเที่ยวชาวไทย 200 ล้านคน-ครั้ง ตั้งเป้ารายได้ 8 แสนล้านบาท

สำหรับในปี 2567 ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ขอปรับเพิ่มรายได้รวมการท่องเที่ยวทั้งปีเป็น 3.5 ล้านล้านบาท จากเป้าหมายปัจจุบัน 3 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นการฟื้นตัว 100% เมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด

ด้วยการเพิ่มรายได้จากตลาดต่างประเทศให้มากขึ้นนั้น ททท.พิจารณาสัดส่วนรายได้ระหว่างตลาดในประเทศและต่างประเทศแล้ว เท่ากับว่าในปี 2567 จะต้องสร้างรายได้ตลาดต่างประเทศ 2.5 ล้านล้านบาท เพิ่มจากเป้าหมายปัจจุบันที่อยู่ประมาณ 2 ล้านล้านบาท ส่งแรงสนับสนุนไปสู่เป้าหมายรายได้ตลาดต่างประเทศที่ 3 ล้านล้านบาทในอนาคตตามนโยบายของนางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ส่วนรายได้ตลาดในประเทศ ยังคงเป้าเท่าเดิมที่ 1 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้จากมาตรการสนับสนุนจากรัฐบาล ทำให้ ททท.เชื่อมั่นว่าจะช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ 2 มิติหลัก ได้แก่ 1.มาตรการด้านอำนวยความสะดวกการเดินทาง (Ease of Travelling) ผ่านการทยอยประกาศมาตรการเกี่ยวกับการยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) หรือ วีซ่าฟรี เพื่อการท่องเที่ยว เป็นการชั่วคราวแก่นักท่องเที่ยวตลาดเป้าหมาย รวม 3 เฟส ได้แก่

  • นักท่องเที่ยวชาวจีนและคาซัคสถาน เริ่มตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 – 29 กุมภาพันธ์ 2567
  • นักท่องเที่ยวรัสเซีย ขยายวันพำนักเพิ่มเป็นสูงสุดไม่เกิน 90 วัน จากเดิม 30 วัน ระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 – 30 เมษายน 2567
  • นักท่องเที่ยวอินเดียและไต้หวัน ให้วีซ่าฟรี พำนักในไทยได้สูงสุดไม่เกิน 30 วัน ระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 – 10 พฤษภาคม 2567

รวมทั้งยังมีมาตรการยกเว้น ตม.6 ที่ด่านพรมแดน เริ่มที่ด่านสะเดา จ.สงขลา ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 – 30 เมษายน 2567 อำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมาเลเซีย ส่วนด่านอื่นๆ อาทิ ด่านเบตง จ.ยะลา ด่านสุไหงโกลก จ.นราธิวาส และด่านวังประจัน จ.สตูล ทางรัฐบาลอยู่ระหว่างการศึกษาเพิ่มเติม

ในส่วนของสถิตินักท่องเที่ยวในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ (1 มกราคม-31 ตุลาคม) ทำรายได้รวมการท่องเที่ยวสะสม 1,674,009 ล้านบาท แบ่งเป็นจากนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสม 21,882,227 คน สร้างรายได้ 963,142 ล้านบาท ส่วนจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย (รวมนักท่องเที่ยวและนักทัศนาจร) สะสม 194,025,315 คน-ครั้ง สร้างรายได้ 710,866 ล้านบาท

ททท.ดัน 3,000 อีเว้นท์ท่องเที่ยวทั่วไทย กระตุ้นเที่ยวส่งท้ายปี

เฉพาะจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยถือว่าใกล้เคียงเป้าหมายตลอดปี 2566 แล้ว จึงคาดการณ์ว่าสิ้นปีจะเห็นตัวเลข 225-230 ล้านคน-ครั้ง สูงกว่าเป้าหมายประมาณ 15% ได้ แต่หากพิจารณารายได้รวมการท่องเที่ยวสะสม 10 เดือนแรก 1.67 ล้านล้านบาท ในช่วง 2 เดือนที่เหลือนี้ จะต้องทำรายได้รวมอีก 7 แสนล้านบาทเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย 2.38 ล้านล้านบาท แม้ถือเป็นเรื่องท้าทาย แต่ก็ต้องพยายามไปถึงเป้าหมายมากที่สุด ซึ่งขณะนี้มีปัจจัยจากการออกวีซ่าฟรี ขยายวันพำนักนานขึ้น ทำให้ช่วยเพิ่มรายได้การจับจ่ายในประเทศมากขึ้น

ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ ตลาดที่ฟื้นตัวเกินเป้าหมาย 80% เมื่อเทียบกับปี 2562 มีตลาดมาเลเซียที่เดินทางเข้าไทยกว่า 3.34 ล้านคนแล้ว จากปี 2562 มีจำนวน 4.2 ล้านคน ขณะที่ตลาดคาซัคสถาน แม้ขนาดตลาดจะยังเล็ก แต่เห็นสัญญาณบวกจากมาตรการวีซ่าฟรี ไต่ขึ้นจากระดับ 200-300 คนต่อวัน สู่ระดับเกือบ 1,000 คนเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา

ทั้งล่าสุดได้มีการเจรจาสิทธิการบินระหว่างไทย-คาซัคสถานแล้วเรียบร้อย สามารถเพิ่มเที่ยวบินจาก 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เป็น 40 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เริ่มในเดือนพฤศจิกายนนี้ ส่วนตลาดซาอุดีอาระเบีย เติบโตมากกว่าเดิมอยู่แล้วเพราะฐานต่ำ หลังเพิ่งฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่าง ไทย-ซาอุฯ เมื่อต้นปี 2565 ที่ผ่านมา

สำหรับตลาดที่เติบโตอย่างร้อนแรง ได้แก่ รัสเซีย เกาหลีใต้ เวียดนาม และสหรัฐ ส่วนตลาดจีน ที่แม้มีมาตรการวีซ่าฟรี ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน 2566 เมื่อผ่านช่วงวันหยุดยาวโกลเด้นวีค ที่เป็นวันชาติจีน จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาประมาณ 8,000-9,000 คนต่อวัน

โดยต้องจับตาสถานการณ์ในเดือนพฤศจิกายน ที่คาดหวังว่าจะได้เห็นสัญญาณบวกมากขึ้น สะท้อนผ่านการมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยทะลุ 10,000 คนต่อวันอย่างต่อเนื่อง หลังช่วง 10 เดือนแรกตลาดจีนมีจำนวนเดินทางเข้าไทยสะสมเกือบ 2.8 ล้านคน