การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งบก-น้ำ-อากาศ ที่จะเกิดขึ้นในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยเฉพาะไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก รวมถึงโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของเมืองพัทยา อาทิ รถไฟรางเบา จะส่งผลให้ ในช่วง 3-7 ปีข้างหน้านี้พัทยาจะกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวริมทะเลระดับโลก
จากการลงทุนมิกซ์ยูสและโรงแรมหรู ของบิ๊กธุรกิจรายใหญ่ที่จะเกิดขึ้น มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 54,000 ล้านบาทของ 7 กลุ่มทุนใหญ่ เพื่อรองรับการท่องเที่ยว รวมถึงนักลงทุนที่มาอยู่ที่พัทยา และต้องการมีบ้านหลังที่ 2 ในแบบ Branded Residence
นางสุวรรณา พุทธประสาท ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด (LHMH) ธุรกิจโรงแรมในเครือบมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เปิดเผยว่า การลงทุนโรงแรมใหม่ของ “LH มอลล์” ในพื้นที่ต่างจังหวัด บริษัทจะโฟกัสการลงทุนในเมืองพัทยาเป็นหลัก โดยกำลังจะลงทุนโรงแรมใหม่ในพัทยาเหนือเพิ่มอีก 2 แห่ง มูลค่าการลงทุนเฉียด 1 หมื่นล้านบาท เพิ่มจากปัจจุบันที่เปิดให้บริการอยู่แล้ว 2 แห่ง คือ โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา และโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา
โดยโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สาขา 3 ที่พัทยา จะอยู่บนพื้นที่ 22 ไร่ ด้านหลังโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา เริ่มก่อสร้างช่วงไตรมาส 2 ปีหน้า ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่ง Themed Hotel ของแบรนด์ใน Tier Limited Collection ให้บริการห้องพักจำนวน 494 ห้อง ในธีมล่าสุดที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัย ลงทุน 4,400 ล้านบาท เปิดให้บริการในปี 2570 ซึ่งจะเป็นโรงแรมแห่งที่ 10 ของแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์
ส่วนโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สาขา 4 ที่พัทยา จะมีห้องพักจำนวน 400-500 ห้อง ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่ง Themed Hotel ที่อยู่ในแผนการลงทุนโรงแรมใหม่ มูลค่าการลงทุนราว 4,500-5,000 ล้านบาท
ด้านนายกิตติ วรบรรพต กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด กล่าวเสริมว่า เรามองว่าการพัฒนาโปรเจ็กต์โรงแรมใหม่ในเมืองพัทยา ยังเติบโตได้อีกไกลมาก เนื่องจากแม้ปัจจุบันโรงแรมในพัทยาจะมีจำนวนห้องพักมากถึง 6 หมื่นกว่าห้อง แต่เกินครึ่ง หนึ่งเป็นโรงแรมระดับมิดสเกล
ขณะที่โรงแรมระดับท็อปที่เป็นตลาดระดับ 5 ดาว มีเพียง 1 % เท่านั้น และจากที่เราทำโรงแรม 2 แห่งในพัทยาอยู่แล้ว จึงชัดเจนว่าเราจับเจอร์นีย์การลงทุนและเข้าใจตลาดจากข้อมูลที่มี เราเห็นถึงดีมานด์ความต้องการโรงแรมระดับ 5 ดาวในพัทยาที่ยังขยายได้อีก
ประกอบกับการพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่กำลังจะเกิดขึ้น อาทิ สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โครงข่ายเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งต่างๆที่จะเกิดขึ้น ก็จะทำให้การเดินทางมาพัทยาสะดวกและรวดเร็วขึ้น การขยายตัวของดีมานต์นักท่องเที่ยวในพัทยาก็จะเพิ่มขึ้น
นายกิตติ กล่าวต่อว่า ในปีนี้โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ทุกแห่งได้รับการตอบรับทั้งจากชาวไทยและต่างชาติเป็นอย่างดี ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยสูงถึง 90% ค่าห้องพักเฉลี่ยสูงกว่าในช่วงระยะเวลาเดียวกันของปี 2562 แล้วกว่า 20% โดยเฉพาะโรงแรม แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา Themed Hotel แห่งแรกในไทย เพิ่งจะเปิดมาเพียง 10 เดือน ก็สร้างรายได้กว่า 1,000 ล้านบาท และคาดว่าทั้งปีนี้จะมีรายได้รวม 1,300 ล้านบาท โดยอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยสำหรับโรงแรมในพัทยาก็มีสูงมาก โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา อยู่ที่ 5,000 บาทต่อคืน
ส่วนโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา มีอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยอยู่ที่ราว 7,000 บาทต่อคืน โรงแรมนี้เป็นแบรนด์ Limited Collection ของกลุ่ม นับเป็นการขยายรูปแบบการให้บริการที่พักให้ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคที่เน้นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร โดยสามารถทำรายได้ตลอด 1 ปี Yield of Investment สูงถึง 20% ดังนั้นเราจึงมองที่จะขยายการลงทุนโรงแรมแห่งที่ 3 และแห่ง 4 ในพัทยาเพิ่มเติม
นอกจากนี้บริษัทฯ ได้ทำสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์และสัญญาขายอสังหาริมทรัพย์ของโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา และโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา ให้แก่ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล (LHHOTEL) ที่เราบริหารจัดการเอง โดยได้เพิ่มทุนเพิ่มเติมและการกู้ยืมเงินของกองทรัสต์ LHHOTEL มูลค่ารวมราว 9,400 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดย ปัจจุบัน LHHOTEL เป็นกองทรัสต์โรงแรมที่มีมูลค่าทรัพย์สินและมูลค่าตามราคาตลาดใหญ่ที่สุดในไทย หลังเข้าลงทุนเพิ่มเติมในโรงแรมที่พัทยาอีก 2 แห่งดังกล่าว
ส่งผลให้มีทรัพย์สินในพอร์ตโฟลิโอรวม 5 แห่ง มีห้องพักรวมทั้งสิ้น 2,287 ห้อง มูลค่าสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็นกว่า 20,000 ล้านบาท และมีอายุสิทธิการเช่าคงเหลือเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 22 ปีเศษ จากเดิมประมาณ 18 ปีเศษ รวมถึงมีการกระจายการลงทุนที่ดีขึ้น โดยมีสัดส่วนทรัพย์สินในกรุงเทพฯ 55% และพัทยา 45% ส่วนในปีหน้าคาดว่าในส่วนของธุรกิจโรงแรมจะเติบโต 15% โดยจะมีรายได้รวมอยู่ที่ราว 5,520 ล้านบาท
นางธีรวัลคุ์ เตชะอุบล เจ้าของและผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการกลุ่มโรงแรมในเครือเคป แอนด์ แคนทารี โฮเทลส์ ธุรกิจโรงแรมในเครือเกษมกิจ กล่าวว่า บริษัทจะเดินหน้าลงทุน 2 โรงแรมในพัทยา บนพื้นที่ 15 ไร่ ติดกับศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล ซึ่งเป็นแลนด์แบงก์ที่คุณย่าซื้อมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งจะมีทั้งโรงแรมและสวนน้ำในโรงแรม ตั้งงบไว้ราว 2 พันล้านบาทขึ้นไป โดยจะเป็นแบรนด์เคป ราว 80 ห้องเจาะกลุ่มลักชัวรี และแบรนด์แคนทารี ราว 200 ห้อง เจาะกลุ่มครอบครัวและลองสเตย์ ขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบ รวมถึงการเปิดประมูลหาผู้รับเหมาใหม่ และการขอ EIA ด้วย
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิร์ด คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC บริษัทอสังหาริมทร้พย์ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี กล่าวว่า AWC เชื่อมั่นในศักยภาพของพัทยาในฐานะเมืองท่องเที่ยวริมทะเลระดับโลก เราจึงพร้อมเดินหน้าลงทุนกว่า 2.2 หมื่นล้านบาทในโครงการ Aquatique (อควอทีค เดอะบีช ฟรอนท์ พัทยา) มิกซ์ยูสระดับเมกะโปรเจ็กต์ของ AWC อยู่ระหว่างพัทยาเหนือและพัทยากลาง
ทั้งนี้โครงการนี้จะเป็นแหล่งรวมความสนุกระดับไอคอนใจกลางพัทยา และจุดท่องเที่ยวหลากหลายที่รวมไว้ในที่เดียว ประกอบด้วยศูนย์การค้าระดับลักชัวรี โรงแรม (ที่มีเซ็นสัญญาแล้วกับ IHG ที่จะบริหารโรงแรมคิมป์ตัน พัทยา, วีนแยทท์ พัทยา) โครงการธีมปาร์ค พื้นที่สำหรับศิลปะการแสดง และซีฟู้ดมาร์เก็ต ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ห่างเพียงไม่กี่ก้าวจากชายหาดพัทยา ที่เป็นหนึ่งในไปป์ไลน์ตามแผนลงทุน 5 ปีของบริษัท
นอกจากโครงการอควอทีค พัทยาแล้วในปีหน้า AWC จะเปิดโรงแรมใหม่อีก 2 แห่งในพัทยา ได้แก่ โรงแรมแมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา พัทยาซึ่งได้รีแบรนด์มาจากโรงแรมซิกม่า พัทยา ที่ซื้อไว้เดิม รวมใช้งบลงทุนกว่า 1,838 ล้านบาทในการซื้อโรงแรมและปรับปรุงโรงแรมใหม่ และโรงแรมในพัทยา อีกหนึ่งแห่งที่รีแบรนด์มาจากโรงแรมแกรนด์ โซเล่ พัทยา ที่ซื้อไว้เดิม ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับเชนอินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเทล หรือ IHG เพื่อสรุปว่าจะใช้แบรนด์โรงแรมใดเพื่อให้มารับบริหารโรงแรมนี้ให้ นางวัลลภา กล่าวทิ้งท้าย
ไม่เพียงการลงทุนมิกซ์ยูสของ AWC เท่านั้น กลุ่ม “MQDC” ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเครือ “ซีพี” ซึ่งมีที่ดินติดทะเล 60-70 ไร่ และไม่ติดทะเลอีกหลาย ร้อยไร่ บริเวณนาจอมเทียนใกล้ ก็มีแผนจะลงทุนมิกซ์ยูสขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ประกอบไปด้วยห้างไลฟ์สไตล์มอลล์ขนาดใหญ่ รวมทั้งโรงแรม มี Branded Residence ในเครือสตาร์วูด
เช่นเดียวกับการลงทุนมิกซ์ยูส ของเครือ “ออเนอร์ กรุ๊ป” ที่อยู่ระหว่างพัฒนาพื้นที่ 4.5 ไร่ ติดถนนพัทยาสาย 3 มูลค่าการลงทุนรวม 3,500 ล้านบาท ประกอบไปด้วยที่คอนโดมิเนียม (วันส์ พัทยา) ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จแล้วรองรับคนไทยและต่างชาติที่ต้องการอยู่อาศัยในพัทยา เหลือสร้างโรงแรมฮิลตัน การ์เด้น อินน์ พัทยา ซิตี้ สูง 29 ชั้น ขนาด 300 ห้อง พร้อมร้านค้าปลีก คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2568
ขณะที่กลุ่ม “เซ็นทรัล” ก็มีแผนจะลงทุนทุนกว่า 3,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการล่าสุด อย่าง “วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ” ไลฟ์สไตล์มอลล์ริมหาดวงศ์อมาตย์แห่งแรกของไทยด้วย
ขณะเดียวกันฮาบิแทท กรุ๊ป ซึ่งมีโครงการโรงแรมและเรสซิเด้นท์หลายแห่งในพัทยา ล่าสุดก็อยู่ระหว่างพัฒนาแฟลกชิปคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี ในรูปแบบ Branded Residence ครั้งแรก ภายใต้ชื่อ “วินแดม แกรนด์ เรสซิเดนซ์ วงศ์อมาตย์ พัทยา” เป็นคอนโดไฮไรซ์ 36 ชั้น 385 ยูนิต มูลค่า 3,500 ล้านบาท โดยมี บริษัท อีซีจี เวนเจอร์ แคปปิตอล จำกัด ผู้บุกเบิกและผู้นำด้านการลงทุน Private Equity รายใหญ่ในไทย เข้ามาร่วมลงทุนคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างปี 2567 แล้วเสร็จปี 2570 เป็นช่วงเดียวกับที่เมกะโปรเจ็กต์ทั้งรีเทลและรถไฟฟ้าบริเวณพัทยาแล้วเสร็จ