บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) ยักษ์ใหญ่ด้านธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารเผยผลประกอบการโรงแรมในช่วงสิ้นปี 2566 สูงกว่าระดับในช่วงก่อนโควิดแล้ว และมีแนวโน้มดีต่อเนื่องในปี 2567 นี้
ส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากนโยบายของรัฐบาลที่ช่วยผลักดันการท่องเที่ยวของไทย รวมถึงมาตรการยกเว้นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาในไทย
โดยในเดือนธันวาคม 2566 โรงแรมของ MINT ในประเทศไทยแสดงอัตราการเข้าพักกว่า 75% และค่าห้องเฉลี่ย (Average Daily Rate) ที่เพิ่มขึ้นกว่า 10% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน นับเป็นอัตราเติบโตที่เหนือกว่าระดับช่วงก่อนโควิด-19 ในปี 2562
MINT คาดการณ์แนวโน้มที่สดใสต่อเนื่องในปี 2567 จากปริมาณการจองห้องพักของโรงแรมในประเทศไทยช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ของปีนี้ ที่สูงกว่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 20-30% และจำนวนห้องพักที่นักท่องเที่ยวชาวจีนได้จองไว้ก็พุ่งทะยานไปเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
สอดคล้องกับการรายงานของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาที่แสดงให้เห็นว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจีนในประเทศไทยกลับมาแซงหน้านักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนนี้
นายวิลเลียม ไฮเน็ค ประธานกรรมการบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT กล่าวว่า “ถึงแม้ประเทศจีนจะกำลังเผชิญความท้าทายด้านเศรษฐกิจในประเทศอยู่ในขณะนี้ แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาเที่ยวเมืองไทยที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นสัญญาณฟื้นตัวที่ดีของภาคการท่องเที่ยวของไทย”
ธุรกิจโรงแรมของ MINT ที่กระจายอยู่เกือบ 60 ประเทศทั่วโลกได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของโลก ทั้งการเดินทางท่องเที่ยวและการเดินทางเพื่อธุรกิจ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ MINT มั่นใจว่า จะสามารถเพิ่มรายได้และกำไรในแต่ละปีได้ตามแผนธุรกิจ
ขณะเดียวกัน ฐานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ MINT ยังช่วยให้บริษัทฯ สามารถเร่งชำระหนี้ก่อนกำหนดและลดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นให้อยู่ในระดับเพียง 1 เท่า ณ สิ้นปี 2566
โดย MINT มุ่งมั่นที่จะลดอัตราส่วนหนี้สินต่อไปในภาวะปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยยังคงสูงอยู่ เพื่อเพิ่มอัตราทำกำไรสุทธิให้มากขึ้นอีก
มร. วิลเลียม กล่าวเพิ่มเติมว่า “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยมีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายของรัฐบาลที่ช่วยกระตุ้นภาคธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยกเว้นวีซ่า การขยายเวลาเปิดให้บริการของสถานบันเทิง การลด-เลิกภาษีไวน์ สุรา และการสร้างสัมพันธ์กับนักลงทุนต่างชาติเพื่อดึงดูดให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ประเทศไทยสามารถทำเพิ่มเติมได้”
นายวิลเลียมมีข้อเสนอต่อรัฐบาลในการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง เช่น การส่งเสริมด้านซอฟท์เพาเวอร์ ทั้งการถ่ายทำภาพยนตร์ โดยใช้สถานที่ในประเทศไทยที่แสดงถึงทัศนียภาพอันสวยงามและอัธยาศัยของคนไทย อาหารไทย การดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร ซึ่งอาศัยการผสมผสานภูมิปัญญาอันเก่าแก่ของประเทศไทยเข้ากับเทคโนโลยีทางการแพทย์ระดับมาตรฐานโลก
ด้านกีฬา ตลอดจนดนตรี เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไทยและดึงดูดนักท่องเที่ยวจากนานาประเทศ โดยนายวิลเลียมเห็นว่า รัฐบาลสามารถใช้มาตรการทางการเงิน (incentive) สนับสนุนการจัดคอนเสิร์ตระดับโลกในเมืองไทยให้มากขึ้น ดังเช่นที่ได้ให้การสนับสนุนการถ่ายทำหนังและภาพยนตร์ในประเทศไทยมาแล้ว
นอกจากนี้ นายวิลเลียมได้เน้นย้ำถึงการสนับสนุนสายการบินและสร้างแรงจูงใจในการเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน และการปรับลดค่าโดยสารให้เหมาะสมยิ่งขึ้น การทำการตลาด เพื่อเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายและลดความเสี่ยง มาตรการลดหย่อนภาษีจากการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวภายในประเทศ
โดยเฉพาะในช่วงโลว์ซีซั่น ในไตรมาส 2 และ 3 ของแต่ละปี การส่งเสริมวีซ่าเกษียณอายุ ซึ่งไม่เพียงแต่จะดึงดูดชาวต่างชาติที่เกษียณแล้วให้มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยมากขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่มเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจของประเทศไทยให้สูงขึ้น จากมูลค่าการใช้จ่ายด้านสุขภาพ การแพทย์ และอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
การสานความสัมพันธ์ทางการทูต เศรษฐกิจและสังคมกับจีนอย่างแน่นแฟ้น เพื่อให้ประเทศจีนยังคงเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย การส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวภายในภูมิภาคอาเซียน และการพิจารณายกเว้นวีซ่าให้มีระยะเวลาที่ยาวขึ้น
“ผมมั่นใจว่านโยบายต่างๆ เหล่านี้จะช่วยผลักดันธุรกิจการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทย ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกในปี 2567 นี้” มร.วิลเลียมกล่าวทิ้งท้าย