วันนี้(วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567) นางเฉิดโฉม เทอดสถีรศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงินและการบัญชี บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้นำส่งงบการเงินของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 พบว่า มีกำไรสุทธิ จำนวน 28,123 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 28,375 ล้านบาท
โดยเป็นกำไรส่วน ที่เป็นของบริษัทใหญ่ 28,096 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 12.87 บาท ในขณะที่ปีก่อนหน้าขาดทุนสุทธิ 272 ล้านบาท และขาดทุนต่อหุ้น 0.12 บาท โดยมี EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบิน รวมค่าเช่าเครื่องบินที่คำนวณจากการใช้เครื่องบินที่เกิดขึ้นจริง (Power by the Hour) เป็นกำไรจำนวน 42,875 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 25,634 ล้านบาท
สรุปสาระสำคัญของงบการเงินของการบินไทยสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566
ในปี 2566 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ยังคงดำเนินการตามแผนฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง
สาระสำคัญการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการของการบินไทย ได้แก่
การดำเนินการตามแผนการปรับปรุงประสิทธิภาพฝูงบินและขยายเส้นทางบิน เพื่อรองรับการฟื้นตัว ของอุตสาหกรรมการบิน และเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างรายได้ให้แก่บริษัทฯ
นอกจากนี้บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากกิจการอื่น เพิ่มขึ้น 2,571 ล้านบาท (38.5%) ซึ่งหน่วยธุรกิจส่วนใหญ่มีรายได้เพิ่มขึ้นจากจำนวน ผู้โดยสารของสายการบินลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยมีค่าใช้จ่ายรวม 120,856 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 23,612 ล้านบาท (24.3%)
ส่วนหนึ่งเกิดจากปริมาณการผลิตและ/หรือปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้น และสำหรับต้นทุน ทางการเงิน (ซึ่งเป็นการรับรู้ต้นทุนทางการเงินตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 : TFRS 9) มีการรับรู้ต้นทุนทางการเงินจำนวน 15,611 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 3,224 ล้านบาท (26.0%)
การหาประโยชน์จากทรัพย์สินรองที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจ
บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว ส่วนใหญ่เกิดจากกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ กำไรจากการขายสินทรัพย์ ถึงแม้จะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ปรับปรุงค่าเช่าพื้นที่ สำนักงานดอนเมือง โดยในปี 2566 มีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว-สุทธิ เป็นรายได้รวม 2,201 ล้านบาท
การปรับปรุงโครงสร้างการดำเนินกลุ่มธุรกิจการบิน
ในปี 2566 บริษัทฯ รับโอนเครื่องบิน A320-200 จากบริษัท ไทยสมายล์ฯ จำนวน 16 ลำ ทำการบินแทนในเส้นทางในประเทศ ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต และอุดรธานี และระหว่างประเทศ ได้แก่ อาห์เมตาบัต กัลกัตตา กายา ฮานอย เกาสง กาฐมาณฑ ปีนัง พนมเปญ ย่างกุ้ง เสียมราฐ โฮจิมินห์ และเวียงจันทน์
ทั้งนี้ในเดือนมกราคม 2567 จะรับโอนเครื่องบินอีก 4 ลำ และให้บริการในเส้นทางในประเทศเพิ่มเติม ได้แก่ เชียงราย ขอนแก่น อุบลราชธานี กระบี่ หาดใหญ่ และ นราธิวาส โดยผู้โดยสารไทยสมายล์จะยังคงได้รับบริการที่ดีอย่างต่อเนื่องในฐานะผู้โดยสารของการบินไทยต่อไป
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีสินทรัพย์รวมจำนวน 238,991 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 จํานวน 40,813 ล้านบาท (20.6%) หนี้สินรวมมีจำนวน 282,133 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 จํานวน 12,931 ล้านบาท (4.8%) ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ติดลบจำนวน 43,142 ล้านบาท ติดลบลดลงจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 จํานวน 27,882 ล้านบาท และจากผลประกอบการที่เป็นบวก บริษัทฯ มีเงินสด รวมตั๋วเงินฝาก เงินฝากประจำ และหุ้นกู้ ที่มีระยะเวลาครบกำหนดชำระมากกว่า 3 เดือน แต่ไม่เกิน 12 เดือน จำนวน 67,130 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32,590 ล้านบาท