จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทยและทั่วโลก ทำให้ในช่วง 3-5 ปีนี้ 4 กลุ่มทุนโรงแรมใหญ่ของไทย ยังคงวางเป้าหมายในการขยายโรงแรมอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การลงทุนรวมกว่า 191,000 ล้านบาทที่จะเกิดขึ้น
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าพอร์ตทรัพย์สินกว่า 2 เท่า ด้วยการปรับเพิ่มงบลงทุนรวมเป็น 126,000 ล้านบาทภายใน 5 ปีนี้ เนื่องจากมีโครงการที่อยู่ในแผนลงทุนเพิ่มมากขึ้น และมีกระแสเงินดีขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ในแผน (Pipeline) รวมกว่า 70 โครงการ เป็นโครงการของ AWC เองราว 50 โครงการ และโครงการที่เป็นสัญญาให้สิทธิอีกราว 20 โครงการ ส่วนใหญ่ยังอยู่ในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวหลัก
AWC จะเน้นพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่ครอบคลุมทั้งในด้าน Attraction, Food & Beverage และ Lifestyle Market ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลก อาทิ โครงการ “เวิ้ง ไชน่าทาวน์ เดสติเนชัน” (เวิ้งนาครเขษม) คาดว่าจะใช้เวลา 5 ปีค่อยเริ่มเปิดเฟสแรก โครงการ“อควอทีค เดสติเนชัน” พัทยา ที่จะมีโรงแรมกว่า 5 แห่ง การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ กีฬาทางน้ำ และเอ็นเตอร์เทนเมนต์-รีเทลขนาดใหญ่ ที่จะทยอยเปิดในอีก 5 ปีข้างหน้าโครงการ “เอเชียทีค ดิสทริกต์” กรุงเทพฯ และโครงการ “ลานนาทีค เดสติเนชัน” เชียงใหม่
สำหรับการลงทุนในปีนี้อยู่ที่ 36,000 ล้านบาท โดยจะเปิดโครงการใหม่ 18 โครงการ มูลค่ากว่า 19,000 ล้านบาท โครงการหลักๆอาทิ โรงแรมแฟร์มอนท์ แบงคอก สุขุมวิท โรงแรมพัทยา แมริออท รีสอร์ท แอนด์ สปา และโรงแรมระดับลักเซอรี่ ไลฟ์สไตล์ ในพัทยาอีก 1 แห่ง และมีโครงการอยู่ระหว่างการขออนุมัติการลงทุนอีกกว่า 17,000 ล้านบาท จำนวน 3 โครงการเพื่อสนับสนุนกลยุทธ์การเติบโต (GROWTH-LED Strategy)
ได้แก่ 1.โครงการโอพี การ์เด้น ย่านบางรัก เพื่อเชื่อมกับ โรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก คาดว่าจะเปิดไตรมาส 4 ปี 2570 โครงการพัฒนาโรงแรมเวลเนส ถนนสุขุมวิท 38 คาดว่าจะเปิดไตรมาส 3 ในปี 2571 และการเข้าลงทุนเพิ่มในพื้นที่ช้างคลาน จ.เชียงใหม่ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการลานนา ทีค
นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT กล่าวว่า จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวทั้งในไทยและต่างประเทศ ที่มีทิศทางเติบโตต่อเนื่อง ทำให้ไมเนอร์ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจสู่ระดับโลก โดยใน 3 ปีนี้ (ปี 2567-2569) มีแผนช้งบลงทุนราว 30,000 ล้านบาท เฉพาะในปี 2567 จะใช้เงินลงทุนอยู่ที่ 10,000-13,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าขยายโรงแรมใหม่ทั่วโลกเพิ่มอีก 200 – 500 แห่ง และขยายร้านอาหารเพิ่มขึ้น 1,000 สาขา ส่งผลให้ในอีก 3 ปีข้างหน้า ไมเนอร์จะมีโรงแรมรวม 780 แห่งทั่วโลก และร้านอาหารอยู่ที่ 3,700 สาขา
ไมเนอร์มุ่งขยายธุรกิจโรงแรมเป็นหลัก ภายใต้แบรนด์อนันตรา ,อวานี,โอ๊คส์ , ทิโวลี และเอ็นเอช โฮเทลส์ จะเป็นแบรนด์โรงแรมหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของพอร์ตโฟลิโอในอีก 3 ปีนี้ ซึ่งจะทำให้มีโรงแรมในพอร์ตโฟลิโอเพิ่มขึ้นเกือบ 40% จากจำนวนโรงแรมและรีสอร์ทในปัจจุบันซึ่งมีอยู่กว่า 540 แห่ง ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนห้องพักในเครือเพิ่มขึ้นมากกว่า 30,000 ห้อง จากจำนวนห้องพักเกือบ 80,000 ห้องที่มีอยู่ในปัจจุบัน
“เรามองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจ และเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ด้านการใช้รูปแบบธุรกิจ Asset-light model (วิธีลดความเสี่ยง โดยการไม่เป็นเจ้าของสินทรัพย์) การทำสัญญารับจ้างบริหารโรงแรม ซึ่งไมเนอร์ตั้งเป้ารับบริหารโรงแรมมากกว่า 150 แห่งในอีก 3 ปีข้างหน้า รวมถึงการทำแฟรนไชส์ร้านอาหาร เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน”
การปรับลดกลยุทธ์ Asset-light จะทำให้ไมเนอร์ โฮเทลส์ เป็นเจ้าของหรือถือสิทธิ์สัญญาเช่าเกือบ 70% ของโรงแรม 540 แห่งทั่วโลกในปัจจุบัน ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวคาดว่าจะลดลงเหลือประมาณ 50% จากการปรับสมดุลของสัดส่วนรูปแบบธุรกิจแบบรับบริหารและแบบแฟรนไชส์ โดยจะทำให้ส่วนแบ่งของการดำเนินธุรกิจในรูปแบบรับบริหารและแบบแฟรนไชส์ เติบโตจาก 19% ในปี 2566 เป็น 38% ในปี 2569
นอกจากนี้ ไมเนอร์ ยังจะปรับเปลี่ยนสัดส่วนตามภูมิศาสตร์ ด้วยการกระจายโรงแรมและรีสอร์ทไปทั่วโลกให้ทั่วถึง โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งของโรงแรมกว่า 200 แห่งที่ตั้งเป้าเปิดให้บริการภายในปี 2569 จะอยู่ในภูมิภาคเอเชีย ในขณะที่โรงแรมเปิดใหม่ในยุโรปและตะวันออกกลางจะมีจำนวนมากกว่า 50 แห่งในแต่ละภูมิภาค
ทั้งยังจะเปิดโรงแรมใหม่ภายใต้แบรนด์ต่าง ๆ ของเครือในภูมิภาคอื่น ๆ อาทิ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ทวีปอเมริกา และทวีปแอฟริกา ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวจะทำให้การกระจายสัดส่วนโรงแรมทั่วโลกสมดุลยิ่งขึ้น โดยคาดว่าสัดส่วนห้องพักในเอเชียต่อสัดส่วนห้องพักทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 12% เป็น 23% และจาก 9% เป็น 16% สำหรับภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาภายในปี 2569 การเติบโตอย่างก้าวกระโดดในภูมิภาคอื่นคาดว่าจะส่งผลให้สัดส่วนห้องพักในยุโรปลดลงเหลือ 45% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 60%
ขณะที่ธุรกิจร้านอาหารไมเนอร์ฟู้ดจะเน้นเปิดธุรกิจรูปแบบแฟรนไชส์ในเวียดนามและสิงคโปร์ ภายใต้ ซิซซ์เลอร์, เดอะคอฟฟี่ คลับ และเดอะ พิซซ่า คอมปะนี รวมถึงในอินโดนีเซีย ภายใต้แบรนด์แดรี่ควีนและสเวนเซ่น
นายดิลิป ยังกล่าวต่อว่า เป้าหมาย 3 ปี ข้างหน้าของ MINT ไม่เพียงแต่จะเพิ่มส่วนของกำไรแต่จะมีส่วนเพิ่มกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้อย่างมีนัยสำคัญ เงินสดดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในแผนการลดหนี้ โดยตั้งเป้าไปที่การลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นจาก 1.0 เท่า ณ สิ้นปี 2566 เป็น 0.8 เท่าภายในสิ้นปี 2567
กลยุทธ์ดังกล่าวในสภาวะดอกเบี้ยสูงจะสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตของกำไรให้กับบริษัท สถานะการเงินของ MINT ที่แข็งแกร่งขึ้นจะสามารถส่งเสริมให้บริษัทมุ่งเน้นไปที่โอกาสสำคัญในการเติบโตด้วยการผสมผสานกับการเติบโตด้วยรูปแบบ Asset light ได้ตามแผนที่วางไว้
ด้านนายไมเคิล มาร์แชล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR ธุรกิจโรงแรมในเครือสิงห์เอสเตท เปิดเผยว่า SHR มีแผนปักหมุดรุกตลาดใหม่ โดยได้จัดสรรงบในการลงทุนมูลค่า 15,000 ล้านบาทเพื่อซื้อและควบรวมกิจการ (Merger and Acquisition) ตลอดระยะเวลา 5 ปีข้างหน้านี้
โดยยังคงพุ่งเป้าไปที่จุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวในภาคพื้นทวีปยุโรปในแถบเมดิเตอร์เรเนียน สหราชอาณาจักร แถบมหาสมุทรอินเดีย เอเชียแปซิฟิค และฟิจิ เพื่อสร้างความหลากหลายให้แก่พอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ และสร้างความเติบโตที่ยั่งยืนในด้านรายได้ รวมถึงลดความผันผวนทางฤดูกาล (Seasonal Effect) ของโรงแรมในเครืออีกด้วย
ทั้งนี้เราตั้งเป้าว่าจะเพิ่มจำนวนโรงแรม ในพอร์ตโฟลิโอทั้งหมดจำนวนไม่น้อยกว่า 50 แห่ง ภายในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งจะอยู่ภายใต้โมเดลธุรกิจแบบ Asset-Light อาทิ สัญญาบริหารโรงแรม หรือภายใต้การเข้าซื้อสินทรัพย์ที่มีศักยภาพ และการร่วมลงทุน อันจะนำไปสู่การเพิ่มขนาดพอร์ตโฟลิโอและรายได้รวมของบริษัทฯ เป็น 2 เท่าตัว โดยมีแผนจะยกระดับแบรนด์ ทราย (SAii) ให้เป็นที่จดจำในระดับสากล ในฐานะจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวแบบลักชูรีอย่างยั่งยืน
สำหรับในปีนี้ตั้งเป้ารายได้รวมอยู่ที่ 12,000 ล้านบาท โดยผลักดัน EBITDA Margin เติบโต 3 – 5 % โดยมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนผลกำไร ยกระดับพอร์ตโฟลิโอผ่านการปรับปรุงและเพิ่มมูลค่าโรงแรมในจุดหมายปลายทางสำคัญ ยกระดับแบรนด์ ทราย (SAii) ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจบนโมเดล Asset-Light และขยายธุรกิจผ่านการซื้อและควบรวมกิจการ เป็นต้น
นายธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวว่าเซ็นทารา ตั้งเป้าหมายขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ๆ ทั่วโลก ภายใต้กลยุทธ์ Future Growth โดยในช่วง 3 ปีนี้(ปี 2567- 2569) ได้วางงบลงทุนอยู่ที่ 13,000-20,000 ล้านบาท (ธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหาร)
การลงทุนหลักๆของบริษัทจะอยู่ที่การก่อสร้างโรงแรมเพิ่มอีก 2 แห่งที่มัลดีฟส์ คือ โรงแรมเซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์” จะเปิดบริการในเดือนพ.ย.นี้ และ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์ จะเปิดในช่วงไตรมาส 1ปีหน้า และกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะสร้างโรงแรมเพิ่มอีก 1 แห่ง ที่จะเป็นโรงแรมแห่งที่ 5 ในมัลดีฟส์หรือไม่
รวมไปถึงร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่ร่วมลงทุนโรงแรมเซ็นทารา มิราจ บีช ดูไบ ที่ปัจจุบันเปิดให้บริการอยู่แล้ว 607 ห้อง มีแผนจะขยายห้องพักเพิ่มอีก 200 ห้อง ซึ่งในขณะนี้บอร์ดได้อนุมัติในการซื้อที่ดินเพิ่มเติมแล้ว การรีโนเวทโรงแรมของเราเอง อาทิ โรงแรมเซ็นทารา กะรน รีสอร์ท ภูเก็ตโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช และโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ หัวหิน บีช รีสอร์ท หลังจากได้ดำเนินการต่อสัญญาเช่าที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เรียบร้อยแล้ว โดยมีแผนจะใช้งบลงทุนราว 1,700 -2,000 ล้านบาท เริ่มดำเนินการในปี 2568 ใช้เวลา 2-3 ปี ซึ่งจะปรับปรุงห้องพักใหม่ และศึกษาที่จะสร้างโรงแรมระดับ 3 ดาวในพื้นที่ดังกล่าว
อีกทั้งยังอยู่ระหว่างเจรจาซื้อโรงแรมในต่างประเทศ 1 แห่ง ซึ่งเป็นโรงแรมในภูมิภาคนี้ รวมถึงขยายการรับบริหารโรงแรมในยุโรป แอฟริกา จีน ศรีลังกา เวียดนามเพิ่มขึ้นด้วย โดยยังคงมุ่งมั่นก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 100 แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลกภายในปี 2570