นายธนวัช ภูเก้าล้วน ตัวแทนผู้ประกอบการจังหวัดกระบี่ กล่าวถึงปัญหาขาดแคลนน้ำเกาะพีพี ที่วิกฤตหนักถึงขั้นเหลือน้ำใช้ทั้งเกาะถึงแค่วันที่ 16 เมษายนนี้ ว่า เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ อุทยานแห่งชาติที่เก็บค่าเข้าได้มากที่สุดในประเทศไทย มาวันนี้กำลังจะมีน้ำใช้ทั้งเกาะอีกไม่ถึง 5 วัน เพราะบ่อน้ำประปาเอกชนเพียงแห่งเดียวบนเกาะ ระดับน้ำติดก้นอ่างแล้ว
ปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นทุกปี มักจะแก้ไขด้วยการซื้อน้ำจืดขนใส่เรือ มาเติมในบ่อประปาของเอกชน ประชาชน และผู้ประกอบการต้องซื้อน้ำแพงกว่าเดิม ราคาตกลูกบาศก์เมตร หรือ คิวละ 150 ถึง 200 บาท เพราะต้นทุนสูง ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ที่เป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของจังหวัดกระบี่ด้วย
การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เกาะพีพีมีต้องมีน้ำใช้เป็นของตัวเอง วิธีที่น่าสนใจคือ “ระบบผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล (Desalination Plant)” แยกเกลือออกจากน้ำด้วยวิธีการรีเวอร์ส ออสโมซิส (reverse osmosis : ro) งบลงทุนระบบไม่เกิน 30 ล้านบาท ไม่รวมที่ดิน กำลังการผลิต 3,000 คิวต่อวัน น่าจะใกล้เคียงกับปริมาณการใช้น้ำบนเกาะพีพี เชื่อว่ามีผู้สนใจลงทุนแน่นอน
หรืออีกวิธีคือ “การวางท่อส่งน้ำประปาใต้ทะเล” ก็มีตัวอย่างการวางท่อประปาจากชายฝั่งไปเกาะสมุย และเกาะพงันมาแล้ว ซึ่งขณะนี้ทราบว่า มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ในการวางท่อประปาใต้ทะเลจากฝั่งไปสู่เกาะพีพี
“เกาะพีพี ไม่ใช่แค่อุทยานแห่งชาติ ที่เก็บรายได้มากที่สุดเท่านั้น แต่เป็นหมุดหมายการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลกลางต้องเข้ามาดูแล เมื่อนายกรัฐมนตรีเคยประกาศว่า จะผลักดันท่องเที่ยวไทยให้เป็น Tourism Hub อาเซียน ก็อยากจะให้เร่งแก้ไขปัญหานี้ ดึงนักลงทุนมาทำระบบผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล หรือจัดสรรงบประมาณปี 2568
เริ่มโครงการการวางท่อส่งน้ำประปาใต้ทะเลจากชายฝั่งเข้าเกาะพีพี ตามแนวท่อส่งสายไฟฟ้า เหมือนอย่างที่ทำกับเกาะสมุยและเกาะพงัน เพื่อแก้ปัญหาระยะยาว ไม่ให้เกาะพีพีเกิดวิกฤตน้ำซ้ำซากทุกปีเหมือนที่เป็นอยู่เวลานี้” นายธนวัช กล่าว