"บวท." ปักธงปี 67 ดันเที่ยวบินจีนพุ่ง 8.6 หมื่นเที่ยวบิน หนุนฮับการบิน

06 ก.ค. 2567 | 02:03 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ก.ค. 2567 | 04:50 น.

"สุรพงษ์" เผย "บวท." เล็งดึงเทคโนโลยีช่วย ดันเที่ยวบินไทย-จีน แตะ 8.6 หมื่นเที่ยวบินภายในปี 67 รุกขยายตลาดรับนักท่องเที่ยวเฉิงตู

นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้ประกาศนโยบายขับเคลื่อนพัฒนาประเทศไทย และยกระดับศักยภาพด้านการบินของประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

 

ทั้งนี้รัฐบาลไทยและจีนได้เห็นชอบข้อตกลงทวิภาคีในการยกเลิกข้อกำหนดด้านวีซ่าให้แก่นักท่องเที่ยวของทั้ง 2 ประเทศ ส่งผลให้ปริมาณเที่ยวบินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า เที่ยวบินไทย - จีน มีสัดส่วนที่สูงสุด คือ 20% ของปริมาณเที่ยวบินระหว่างประเทศทั้งหมด โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 - พฤษภาคม 2567 (8 เดือน) ปริมาณเที่ยวบิน ไทย - จีน รวม 55,433 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น

 

จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 213% คาดการณ์ว่าตลอดทั้งปี 2567 จะมีปริมาณเที่ยวบินไทย - จีน รวม 86,150 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นทั้งปี 126%

 

นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันสนามบินในประเทศไทยที่มีเที่ยวบินจากจีนมาทำการบิน ประกอบด้วย สนามบินดอนเมือง สุวรรณภูมิ ภูเก็ต เชียงใหม่ สมุย และกระบี่ โดยมีทั้งเที่ยวบินขนส่งสินค้าและเที่ยวบินรับ-ส่งผู้โดยสาร

 

ยกเว้นที่ดอนเมืองและสมุยมีตารางการบินล่วงหน้าสำหรับเที่ยวบินรับ-ส่งผู้โดยสารเท่านั้น

 

ขณะนี้หลายสายการบินได้กลับมาให้บริการในเส้นทางบิน ไทย - จีน อีกทั้งมีการขอเพิ่มเที่ยวบินไปยังจุดหมายปลายทางที่เป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญ เช่น เฉิงตู ซึ่งประเทศไทยเตรียมขยายตลาดทางการบินรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้

 

ทั้งนี้สนามบินในประเทศไทยที่มีเที่ยวบินไป-กลับ เฉิงตู ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่

 

และสมุย ซึ่งในช่วง 8 เดือน ที่ผ่านมามีเที่ยวบินไป–กลับ เฉิงตู รวม 5,896 เที่ยวบิน และคาดการณ์ตลอดทั้งปี 2567 จะมีเที่ยวบิน ไป-กลับ เฉิงตู รวม 8,850 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 265%

“ผมได้มอบหมายให้วิทยุการบินฯ เร่งขยายขีดความสามารถในการรองรับปริมาณเที่ยวบิน ซึ่งวิทยุการบินฯ ได้จัดสร้างเส้นทางบินใหม่ให้เป็นแบบเส้นทางบินคู่ขนาน หรือ Parallel Route รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการเดินอากาศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการการจราจรทางอากาศ"

 

อีกทั้งปรับปรุงระบบเทคโนโลยี ปรับปรุงโครงสร้างห้วงอากาศ และแนวทางบริหารจัดการ ให้สามารถรองรับปริมาณเที่ยวบินและนักท่องเที่ยวให้ได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย

 

นอกจากนี้ได้เน้นย้ำให้วิทยุการบินฯ เตรียมความพร้อมระบบการบริหารจัดการจราจรทางอากาศใหม่และจัดเตรียมสถานที่สำหรับติดตั้งระบบใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการรองรับปริมาณเที่ยวบินที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีเที่ยวบินประมาณ 2 ล้านเที่ยวบิน ในปี 2581

 

โดยให้เตรียมความพร้อมด้านบุคลากรปรับปรุงเส้นทางบินและออกแบบห้วงอากาศให้เหมาะสม รวมทั้งนำแนวทางปฏิบัติการบริหารจัดการความคล่องตัวการจราจรทางอากาศหรือ ATFM มาใช้บริหารจัดการเที่ยวบินและเตรียมวางระบบบริหารจราจร ทางอากาศสำรอง (Off-site Backup)

 

นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า ตามแผนรองรับภาวะฉุกเฉินด้านบริการจราจรทางอากาศเพื่อให้บริการได้ อย่างต่อเนื่องด้วยความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพเป็นการขับเคลื่อนให้ประเทศไทย

 

มีระบบการบริหารจัดการจราจรทางอากาศที่มีศักยภาพเป็นไปตามมาตรฐานและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีการบินของโลก ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

“วิทยุการบินฯ ได้เตรียมพร้อมยกระดับการให้บริการทุกด้าน โดยใช้ศักยภาพและความเชี่ยวชาญด้านการบินที่มีอยู่เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างประโยชน์และสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจให้ประเทศชาติ ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมที่มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค (Aviation Hub)”

นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) ในฐานะประธานคณะกรรมการ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า วิทยุการบินฯ ได้เตรียมความพร้อมและกำหนดมาตรการให้บริการจราจรทางอากาศ

 

ความพร้อมในการบริหารความคล่องตัวการจราจรทางอากาศ (Air Traffic Flow Management) เพื่อให้สามารถรองรับปริมาณการจราจรทางอากาศที่เพิ่มขึ้น และอำนวยความสะดวกให้กับทุกเที่ยวบินที่เข้ามาในน่านฟ้าไทยที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดความปลอดภัยสูงสุด

 

ขณะเดียวกันวิทยุการบินฯ ได้เตรียมแนวทางวิธีปฏิบัติการให้บริการจราจรทางอากาศ เพื่อรองรับการเพิ่มขีดความสามารถของสนามบิน ตามโครงการพัฒนาและขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 ได้แก่

 

การเปิดใช้งานอาคารเทียบเครื่องบินรองระยะไกล หลังที่ 1 หรือ SAT-1 และการใช้งานทางวิ่งเส้นที่ 3 ที่จะเปิดให้บริการฯ ในช่วงเดือนกันยายน 2567

 

รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานทางวิ่ง หรือ High Intensity Runway Operation (HIROs) ซึ่งเป็นการจัดระยะห่างของอากาศยานขาเข้าและขาออก ให้ได้เทียบเท่าสนามบินชั้นนำของโลก ซึ่งจะทำให้สามารถรองรับปริมาณเที่ยวบินได้สูงสุดเท่าที่ขีดความสามารถของสนามบินจะรองรับได้

 

อีกทั้งได้นำเทคโนโลยีมาบริหารจัดการเที่ยวบินขาเข้า คือ ระบบ Arrival Manager (AMAN) และการจัดการเที่ยวบินขาออกด้วยระบบ Intelligent Departure (iDep) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารความคล่องตัวการจราจรทางอากาศ

 

ทำให้เที่ยวบินสามารถทำการบินได้ตรงเวลาตามตารางการบิน เพื่อให้สามารถรองรับปริมาณเที่ยวบินได้มากที่สุด

 

ดร. ณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) กล่าวว่า วิทยุการบินฯ ได้ดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ระยะเริ่มต้น (Phase 0)

\"บวท.\" ปักธงปี 67 ดันเที่ยวบินจีนพุ่ง 8.6 หมื่นเที่ยวบิน หนุนฮับการบิน

เพื่อสนับสนุนการบิน มุ่งเน้นการขนส่งสินค้าทางอากาศจากเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)

 

โดยเฉพาะเที่ยวบินจากจีน และการพัฒนาส่งเสริมให้ท่าอากาศยานอู่ตะเภาเป็นศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานในอนาคตและจะทำให้เกิดศูนย์กลางการพัฒนาธุรกิจ โดยเฉพาะการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation

 

อย่างไรก็ตามได้นำแนวคิด Aerotropolis นี้มาจากต้นแบบ คือ สนามบินนานาชาติเฉิงตู เทียนฟู่ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งการที่วิทยุการบินฯ

 

ต้องให้บริการในระดับสากล จึงจำเป็นต้องมาศึกษาเรียนรู้ข้อมูล การพัฒนาเทคโนโลยี การบริหารจัดการสนามบินต่าง ๆ เพื่อพัฒนาบริการของวิทยุการบินฯ ในทุกด้านต่อไป