บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ รายงานยอดขายไตรมาส 3 ปี 2565 อยู่ที่ 160,266 ล้านบาท กำไรสุทธิ 5,108 ล้านบาท เติบโต 195% จากปีก่อน โดยผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น มีปัจจัยหลักมาจากธุรกิจเนื้อสัตว์ในประเทศไทยและส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่ดีขึ้น
ทำให้ผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) ปี 2565 มียอดขายรวม 455,149 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิรอบ 9 เดือนรวม 12,158 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 93% จากระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น เป็นผลจากยอดขายของกิจการในหลายประเทศปรับตัวดีขึ้น จากกำลังซื้อทั้งการบริโภคในประเทศและการส่งออก ที่เป็นผลจากการผ่อนคลายของมาตรการต่าง ๆ ในการป้องกันโควิด-19 และมีการเปิดประเทศมากขึ้น นอกจากนี้จากที่ ประเทศไทยประสบปัญหาภาวะสุกรขาดแคลนอย่างมากจากโรคระบาดตั้งแต่ปลายปี 2564 ซึ่งส่งผลให้ราคาสุกรอยู่ในระดับที่สูงกว่าปีก่อน
นอกจากนี้เป็นผลจากราคาไก่เนื้อปรับตัวสูงขึ้นจากความต้องการบริโภคทดแทนเนื้อสุกรที่ขาดแคลน รวมถึงภาวะราคาสุกรในประเทศจีนที่อยู่ในระดับต่ำเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ได้ปรับตัวสูงขึ้นจากปริมาณสุกรในตลาดที่ลดลง ทำให้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนของซีพีเอฟในจีนเพิ่มขึ้นจากช่วงไตรมาส 3 ของปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ และคาดว่าจะสามารถคงระดับที่ดีนี้ได้อย่างต่อเนื่องจนถึงปีหน้า
นายประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ซีพีเอฟ ได้ประกาศแผนงานการขับเคลื่อนองค์กรมุ่งสู่เป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ภายในปี ค.ศ. 2050 โดยได้วางกลยุทธ์เชิงรุกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่การผลิต เช่น การผลิตผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำเพิ่มขึ้น ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน และยกเลิกการใช้เชื้อเพลิงจากถ่านหิน 100% สำหรับกิจการในประเทศไทย