“ราคายางพาราตกต่ำ” เป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อรายได้และความเป็นอยู่ของชาวสวนยางทั่วประเทศที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคของรัฐบาล ที่ยังไม่สามารถแก้ไขอะไรได้มากนัก เพราะราคายางในประเทศอิงกับราคาตลาดโลก แต่รัฐบาลก็พยายามออกนโยบายช่วยเหลือ ล่าสุดโครงการประกันรายได้ยางพาราปีที่ 4 ที่มีแผนนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา แต่ถูกเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือNER เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า วันนี้ภาคธุรกิจส่วนใหญ่มีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยทั้งในไทยและโลกยังเป็นช่วงขาขึ้นเพื่อสกัดเงินเฟ้อ คาดดอกเบี้ยยังไม่ลดลงมาแน่ ๆ ในระยะสั้น
ในส่วนของยางพาราเวลานี้เป็นช่วงที่ซัพพลายในประเทศออกมามาก โรงงานส่วนใหญ่มีสินค้าเต็มโกดัง แทบไม่มีที่จะวางของกันแล้ว ทั้งนี้การรักษาเสถียรภาพราคายางไม่ควรทำในรูปแบบเดิม (รัฐซื้อยางเข้าเก็บสต๊อกเพื่อลดซัพพลายในตลาด และเปิดประมูลขายภายหลัง) ที่ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูง และขายขาดทุน และทำให้มีปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย
ทั้งนี้แนวทางใหม่ รัฐควรสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ภาคเอกชนซื้อยางเก็บสต๊อกเอง ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายถูกกว่ารัฐบาลทำ โดยจากผลผลิตยางพาราที่จะออกมาในช่วงนับจากนี้ประมาณ 3 ล้านตัน ต้องดึงซัพพลายเข้าเก็บ 30% หรือประมาณ 1 ล้านตันจะทำให้ราคาดีขึ้นได้ คาดจะใช้เงินเพื่อการนี้ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท
“เรื่องนี้แนะให้ทำเป็นเฟส 1 และ เฟส 2 และประเมินเป็นระยะๆ ว่าราคายางกระเตื้องขึ้นหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีใครเสียหาย รัฐบาลแค่อุดหนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ และไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงจากการแบกสต๊อกยางเหมือนในอดีต”
ขณะที่ นายวรเทพ วงศาสุทธิกุล ประธาน และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้โรงงานแปรรูปยางส่วนใหญ่ไม่กล้าซื้อยางเก็บสต๊อก ยกตัวอย่าง น้ำยางข้น คู่ค้าก็ไม่มีเซ็นสัญญา หรือสั่งซื้อระยะยาว เนื่องจากแต่ละรายไม่รู้อนาคตว่าจะขายของได้หรือไม่ ช่วง 2 ปีหลังโควิดคลี่คลายในส่วนของถุงมือยางก็ผลิตโอเวอร์ซัพพลาย สินค้าส่วนใหญ่เวลานี้อยู่ในมือผู้ซื้อยังขายไม่หมด ถุงมือยางที่ผลิตแล้วและยังมีอยู่ในสต๊อก ก็ยังไม่รู้ว่าจะขายหมดหรือไม่
“ตอนนี้ฝนตกทั้งภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคเหนือ ผลผลิตยางออกมาน้อยมาก แต่ราคาไม่ขึ้น เพราะไม่มีความต้องการเข้ามา โรงงานก็ไม่กล้าซื้อเก็บ เพราะไม่แน่ใจว่าซื้อเก็บแล้วจะขายได้หรือไม่ อย่างโรงงานถุงมือยาง ก็ลดกำลังการผลิตเหลือ 20-30% แล้วจะให้รัฐบาลมากระตุ้นอย่างไร ควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดดีกว่า”
สำหรับราคายางในขณะนี้ ยางแท่ง ยังเฉลี่ย 37-38 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) ยางแผ่นรมควัน/ยางแผ่นดิบ อยู่ที่ 45-46 บาทต่อ กก. ยังไม่ใช่ 3 กิโลฯ 100 บาท สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายมาก หากรัฐบาลยังคงจ่ายประกันราคาอยู่ชาวสวนก็ไม่ได้เดือดร้อน แต่วันนี้ส่วนต่างชดเชยประกันราคายางพาราเกือบ 20 บาทต่อ กก. รัฐบาลจ่ายไหวหรือไม่
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,840 วันที่ 1-3 ธันวาคม พ.ศ. 2565