นายมาเรียนน์ สตีล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ The Donkey Sanctuary องค์กรการกุศลที่ดูแลสวัสดิภาพของลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผยว่า โรคต่าง ๆ ที่ตรวจพบในตัวอย่างหนังลา จากการที่ The Donkey Sanctuary ดำเนินการเก็บข้อมูล ถือเป็นอันตรายต่อสุขภาพของทั้งคนและสัตว์ในตระกูลม้า แม้ว่าจะขนส่งมาจากระยะทางไกลก็ตาม แต่เชื้อ S.aureus ก็สามารถอยู่รอดได้เป็นเวลานานบนผิวหนัง ที่เก็บรักษาแบบไม่ได้มาตรฐานในการขนส่ง ซึ่งอาจแพร่เชื้อมาสู่มนุษย์และสัตว์ต่าง ๆ ได้ ทั้งในสถานที่ที่ทำการฆ่าสัตว์ ตลอดจนระหว่างการขนส่งและการส่งมอบในประเทศปลายทาง
ส่วนโรค AHS สามารถแพร่เชื้อได้โดยมีแมลงเป็นพาหะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Cullicoides midge ซึ่งเป็นตัวริ้นจำพวกหนึ่ง ที่สามารถอยู่รอดได้ภายในตู้คอนเทนเนอร์ แม้ในระยะทางที่ไกลและแพร่เชื้อให้กับม้าหรือลาตัวใหม่ในประเทศปลายทาง
เมื่อพิจารณาถึงระดับความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อที่สูงนี้ The Donkey Sanctuary จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลจีน ฮ่องกง เวียดนาม และไทย ยุติการนำเข้าหนังลาโดยทันที พร้อมทั้งขอเรียกร้องให้รัฐบาลประเทศผู้ส่งออกดำเนินการเพื่อหยุดยั้งการค้าหนังลาโดยเร็ว
การค้าหนังลาทั่วโลกนั้นมีความโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม ไร้การควบคุม รวมถึงไม่มีความจำเป็นใด ๆ ซึ่งส่งผลให้ลาต้องได้รับความทุกข์ทรมาน และชุมชนที่พึ่งพาอาศัยลาต้องได้รับผลกระทบในระดับที่รุนแรง ในขณะที่หลายคนอาจเลือกที่จะไม่ยอมรับถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยตรงต่อสัตว์และผู้คน แต่ The Donkey Sanctuary อยากขอให้ผู้บริโภค รัฐบาล และประชาชนทั่วไปตระหนักถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพของสัตว์และมนุษย์ ซึ่งเห็นได้จากบทเรียนล่าสุดที่เกิดขึ้นอย่างการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการระบาดของโรคไข้หวัดนกในปัจจุบัน ที่ทำให้เราทุกคนหันมาฉุกคิดและเฝ้าระวังภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจากโรคที่ติดต่อจากสัตว์สู่คนได้
ดร. เฟธ เบอร์เดน ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานด้านการดูแลสัตว์ตระกูลม้า ของ The Donkey Sanctuary กล่าวว่า ข้อมูลที่ถูกเปิดเผยในรายงานถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเลยก็ตาม เพราะความเสี่ยงต่อโรคสำหรับสัตว์และมนุษย์นั้นสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน เนื่องจากขั้นตอนการค้าหนังลาที่ไม่ถูกสุขลักษณะ การขาดการตรวจสอบที่สามารถระบุถึงที่มาที่ไปได้และความปลอดภัยทางชีวภาพขั้นพื้นฐานทำให้ผู้คนและสัตว์นั้นตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างมาก แม้ว่าหนังลาที่ใช้ในการทดสอบนั้นจะได้มาจากโรงฆ่าสัตว์แห่งเดียวกัน ในวันเดียวกันก็ตาม แต่ยังมีความเป็นไปได้ว่า หากมีการตรวจหาเชื้อหนังลาจากแหล่งอื่น ๆ ทั่วโลก ก็อาจพบเชื้อโรคอันตรายปะปนอยู่ เช่น โรคแกลนเดอร์ ไข้หวัดใหญ่ในม้า และโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร
รายงานฉบับใหม่จาก The Donkey Sanctuary ระบุถึงภัยคุกคามด้านความปลอดภัยทางชีวภาพที่ไม่เคยมีมาก่อนต่อม้าและมนุษย์ ซึ่งสืบเนื่องมาจากการค้าหนังลา
การทดสอบตัวอย่างผิวหนังลาจากโรงฆ่าสัตว์ในประเทศเคนยาจำนวน 108 ตัวอย่างพบว่า 88 ตัวอย่างมีเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus ปะปนอยู่ และพบผลบวกของสายพันธ์ที่ดื้อต่อยาเมธิซิลลิน (MRSA) จำนวน 44 ตัวอย่างและอีก 3 ตัวอย่าง ที่มีผลบวกของ PVL-toxin ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเนื้อตายที่พบในมนุษย์
โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (Zoonotic diesease) เป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่มีความเสี่ยงมากที่สุดต่อสุขภาพของประชาชนทั่วโลก โดยเกิดจากวิธีการฆ่าสัตว์ที่ไม่ถูกสุขลักษณะบนลานดินหรือแม้แต่ในโรงฆ่าสัตว์ที่ได้รับใบอนุญาตก็ตาม ซึ่งวิธีการฆ่าสัตว์ดังกล่าวก่อให้เกิดอันตรายที่ร้ายแรงต่อความปลอดภัยทางชีวภาพ
การค้าหนังลาอันโหดร้ายและไร้มนุษยธรรมที่เกิดขึ้นทั่วโลก ได้สร้างความทุกข์ทรมานต่อลาและส่งผลกระทบในระดับที่รุนแรงต่อชุมชนที่ต้องอาศัยแรงงานจากลาด้วย
ในแต่ละปี ทั่วโลกมีลาจำนวนกว่า 4.8 ล้านตัวถูกขายและฆ่าเพื่อนำหนังมาใช้งาน ความต้องการหนังลาเกิดขึ้นจากการนำไปใช้ในการผลิต ejiao (เออเจียว) ซึ่งเป็นเจลาตินที่สกัดจากผิวหนังของลา และถือเป็นยาแผนโบราณของจีน โดยบางคนเชื่อว่ามีสรรพคุณทางการแพทย์ ซึ่งยังไม่ได้รับการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ถึงสรรพคุณที่แท้จริงของยาตัวดังกล่าว โดยรายงานฉบับใหม่จาก The Donkey Sanctuary ได้เผยให้เห็นว่าการค้าหนังลาก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ต่อความปลอดภัยทางชีวภาพระหว่างประเทศ รวมถึงในประเทศไทยที่เป็นเส้นทางผ่านในการค้าหนังลา
แม้ประเทศไทยจะไม่ใช่ตลาดหลักสำหรับการค้าหนังลา แต่การนำเข้าหนังลาก็เป็นเรื่องที่ถูกกฎหมายในประเทศ โดย ผู้ค้าหนังลาส่วนใหญ่จะหลีกเลี่ยงและหลบหลีกมาตรการป้องกัน ในการควบคุมด้านความปลอดภัยทางชีวภาพของประเทศผู้รับ โดยขนส่งหนังลามายังท่าเรือในประเทศไทย (หรือที่อื่น ๆ เช่น ฮ่องกง) ก่อนที่จะส่งไปยังประเทศจีน
ข้อมูลล่าสุดขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) เมื่อปี 2561 ระบุว่า ประเทศไทยมีม้าทั้งหมด 6,069 ตัว ขณะที่มีลาเพียงแค่ 30 ตัว อย่างไรก็ตาม อาจเป็นได้ว่า ข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ในการเลี้ยงลานั้น ไม่มีความชัดเจนและมีการรายงานต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะไม่มีการกำกับดูแลการค้าสัตว์จำพวกนี้อย่างเคร่งครัด ซึ่งลามีส่วนสำคัญในการระบาดของโรคกาฬโรคแอฟริกาในม้า หรือ African Horse Sickness (AHS) ที่สามารถเแพร่เชื้อได้ผ่านแมลงที่ดูดเลือดของม้าและลา โดยไม่แสดงอาการที่รุนแรง
การแพร่ระบาดของโรค AHS ในประเทศไทยเมื่อปี 2563 มีความเป็นไปได้ว่าเกิดจากการนำเข้าสัตว์ที่มีชีวิต (ได้แก่ ม้า ลา และม้าลาย) ซึ่งพบการติดเชื้อใน 6 จังหวัด ก่อนที่จะมีมาตรการสั่งห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์ตระกูลม้าออกนอกพื้นที่ ซึ่งสามารถลดการแพร่ระบาดลงได้ โดยพบการติดเชื้อในม้าจำนวน 610 ตัวใน 17 จังหวัด และมีม้าที่เสียชีวิตจำนวนทั้งสิ้น 568 ตัว รวมไปถึงม้ามูลค่าสูงที่ใช้ในการแข่งกีฬา และสัตว์ตระกูลม้าสำหรับใช้แรงงานที่มีส่วนสำคัญในการดำรงชีวิตของผู้คนหลายแสนคน ทั้งนี้ แม้จะไม่พบการติดเชื้อรายใหม่นับตั้งแต่มีโครงการเฝ้าระวังโรคในสัตว์ แต่การค้าลาและหนังลาที่ไม่ได้รับการควบคุมอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องนี้ได้
รายงานความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางชีวภาพ และผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์และสัตว์ในระดับสากล หรือ Biosecurity Risks and Implications for Human & Animal Health on a Global Scale ที่จัดทำขึ้นโดย The Donkey Sanctuary และสถาบันวิจัยปศุสัตว์ระหว่างประเทศในเคนยา (ILRI) ได้เผยถึงผลการทดสอบตัวอย่างผิวหนังลาหลายตัว ซึ่งปนเปื้อนเชื้อ Staphylococcus aureus (S.aureus) และโรค AHS โดยในกรณีของผิวหนังที่ปนเปื้อนเชื้อ S.aureus พบว่ามีเชื้อที่ดื้อยา MRSA ในการทดสอบจำนวน 44 ตัวอย่างจาก 108 ตัวอย่าง และอีก 3 ตัวอย่างให้ผลบวกของสาร PVL-toxin ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเนื้อตายที่พบในมนุษย์