ปัจจุบันผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ชอบเก็บเกี่ยวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สดอ่อนมากขึ้น เพราะเข้าใจผิดว่าเก็บเกี่ยวข้าวโพดฯ สดอ่อนได้น้ำหนักดี รายได้ตนเองจะสูงกว่าการเก็บเกี่ยวข้าวโพดฯ ที่ความชื้นต่ำลงซึ่งเป็นการเข้าใจผิดของผู้ปลูกข้าวโพดอีกทั้งผู้ปลูกจำนวนมากกลัวว่ารถเกี่ยวข้าวโพดฯ จะไม่ว่างช่วงที่ตนต้องการเก็บเกี่ยวกลัวต้นข้าวโพดฯล้ม กลัวขโมย ปลูกใกล้เขาก็กลัวลิง ฯลฯทั้งที่ก่อนมีรถเกี่ยวที่ต้องใช้แรงงานไม่กลัวเท่านี้
นายพรเทพ ปู่ประเสริฐ นายกสมาคมการค้าพืชไร่ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” กล่าวว่า ห่วงชาวไร่เก็บเกี่ยวข้าวโพดหลังนา สดอ่อน ไม่ครบอายุ ทำรายได้ผู้ปลูกข้าวโพดฯเองเสียหายไร่ละเป็น 1,000- 5,000 บาท ยิ่งเก็บเกี่ยวไวเสียหายยิ่งมาก ปัจจุบันไม่ว่าผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในไร่ หรือข้าวโพดฯ หลังนา น่าจะไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 ที่เก็บเกี่ยวข้าวโพดสดอ่อนช่วงข้าวโพดอายุ 90 – 117 วัน
ซึ่งเป็นช่วงที่ต้นข้าวโพดกำลังส่งธาตุอาหารและน้ำหนักไปสะสมในเมล็ดเพื่อให้น้ำหนักเมล็ดสมบูรณ์และน้ำหนักเต็มที่ในช่วงเริ่มสุกแก่ ดังนั้นการที่ผู้ปลูกข้าวโพดฯ ยิ่งเก็บเกี่ยวเร็วในช่วงอายุดังกล่าวทำให้ผลผลิตตัวเองลดลงได้สูงสุดถึงกว่าไร่ละกว่า 3,500 – 4,000 บาท แถมเกิดผลเสียอย่างอื่นตามมา
เริ่มจากได้เมล็ดที่ไม่สมบูรณ์เต็มที่ มีธาตุอาหารในเมล็ดที่ต่ำลง ตัวอย่างเช่นควรมีโปรตีนในเมล็ด 7-8 เปอร์เซ็นต์ ลดลงเหลือเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ไปผลิตเป็นอาหารสัตว์ก็จะได้อาหารสัตว์ที่มีคุณภาพต่ำลง แถมมีเมล็ดแตกเสียหายเวลาเก็บเกี่ยวเพิ่มนอกจากนี้ ข้าวโพดฯช่วงสดอ่อน ความชื้นจริงในเมล็ดสูง 36 –50 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ต้องใช้เชื้อเพลิงในการอบลดความชื้นมากขึ้น
ทำให้สูญเสียพลังงานเพิ่มเป็นการปล่อยก๊าชเรือนกระจกเพิ่มขึ้นอีก ภาพรวมผลผลิตลดลงจากข้าวโพดสดอ่อนอาจสูงถึง 4-5 แสนตันมีมูลค่ารวม 5-6 พันล้านบาท ถ้ารวมต้นทุนจากการที่ต้องใช้พลังงานอบลดความชื่นเพิ่ม และมูลค่าเสียหายจากอาหารสัตว์คุณภาพที่ต่ำลงน่าจะทำให้มูลค่าเสียหายถึงกว่าหมื่นล้านบาทดังนั้นขอเรียกร้องให้ผู้ปลูกฯ เก็บเกี่ยวข้าวโพดฯ ให้ได้อายุ และภาครัฐหันมาสนใจปัญหานี้อย่างจริงจัง
แหล่งข่าวให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การที่ผู้ปลูกฯ ไม่น้อยที่เข้าใจว่าเก็บเกี่ยวข้าวโพดฯ สดอ่อนได้น้ำหนักดี รายได้จากการขายจะได้มากกว่า เป็นการเข้าใจผิดเนื่องจาก ถ้าเกษตรกรเก็บเกี่ยวความชื้นต่ำกว่า 30% ได้อายุเก็บเกี่ยวผลผลิตแห้งต่อไร่จะได้เต็มที่ ยิ่งถ้าเกษตรกรตากเองแล้วไปขายรายได้จะมากขึ้น แม้จะไปจ้างคนอื่นตากแล้วไปขายก็ยังได้เงินมากกว่าการขายข้าวโพดสดอ่อน ต่อให้ขายข้าวโพดสดอ่อนช่วงนั้นแบบขายเหมาได้ราคาข้าวโพดฯสด สูงกว่าทีท้องตลาดซื้อช่วงนั้น ก็ยังจะมีรายได้น้อยกว่าเก็บข้าวโพดฯสุกแก่ที่ไปจ้างตาก จะเห็นว่าการเก็บข้าวโพดฯ สดอ่อนไม่ใช่เสียหายเพียงตัวเกษตรกรผู้ปลูกฯเอง ทั้งยังเสียหายทั้งระบบ ทำผลผลิตข้าวโพดฯ มวลรวมของประเทศฯลดลงด้วย
ขณะที่แหล่งข่าววงการค้าข้าวโพด กล่าวถึงสถานการณ์ตลาด ในช่วงที่ล่อแหลมของผู้ขาย ส่วนผู้ซื้อยังประคองราคาตลาดอยู่ และยังมีวัตถุดิบหลากหลายๆอย่างที่กำลังจ่อเข้ามา ยิ่งนับวันจะค่อยๆปรากฏออกมาให้ดู เวลานี้ข้าวโพดเมียนมามีทั้งเข้าเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ ผลของการลงเรือมาก็หลากหลายและหลายรายด้วยกันปริมาณคาดการณ์มาทางเรือเบื้องต้นประมาณแปดหมื่นกว่าตันโดยทยอยเข้ามามีทั้งแหลมฉะบัง ท่าเรือที่ตรัง และท่าเรือระยอง ส่วนการเดินรถมาทางเมียวดีก็ขาดสภาพคล่องปริมาณที่เข้ามาในเมียวดีคงน้อยกว่าปีที่ผ่านมา เพราะว่าการขนส่งยังมีความเสี่ยงและยังมีการเพิ่มค่ารถอีก 30 สตางค์ ราคาซื้อขายช่วงนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด
แต่ข้าวโพดปีนี้ของทางเมียนมาค่อนข้างสวยมาก และในขณะเดียวกันเดือนหน้ากุมภาพันธุ์วัตถุดิบเข้ามาหลากหลายที่จะเข้ามาไทย ก็ยังน่าคิดอยู่ว่า สภาพตลาดจะประคลองได้ให้อยู่สภาพทรงๆตัวจะได้หรือเปล่าสุดจะคาดเดา แต่ข้าวท่อนก็ยังสร้างบทบาทค้ำราคาข้าวโพดพอจะได้ ราคาข้าวท่อน14.30 บาท/กิโลกรัม ราคาสูงเช่นกัน ส่วน ข้าวโพดราคาอาจจะอยู่เป้าหมายในใจกับผู้ซื้อและผู้ขายอาจจะได้กิโลฯ ละ 13.50 บาทน่าจะเพียงแค่นี้ในสภาวะข้าวโพดในไร่ขณะนี้คงจะเบาบางมากๆไม่น่าเกิน 7% ของพื้นที่ที่มีอยู่
ส่วนข้าวโพดหลังนาปีนี้ออกล่าช้ากว่าปีที่ผ่านมาปีนี้ออกอย่างจริงจังคงประมาณ เดือนมีนาคมกลางเดือนไปแล้วเริ่มจะออกมา เดือนเมษายนเดือนพฤษภา จะเริ่มออกมากขึ้น จับทิศทางพื้นที่เพราะปลูกหลังนาประมาณ 7 แสนกว่าไร่ยังไม่รวมของพี่ใหญ่ สภาวะตลาดมุมมองอยากมาก แต่ก็ต้องระวังไว้บ้างก็ดีทุกๆอย่างเปลี่ยนแปลงได้ทันที ช่วงนี้อำนาจการต่อรองของอาหารสัตว์กับภาครัฐก็ยังขับเคี่ยวกันอยู่ ยังไม่ทราบว่าจะออกหัวหรือก้อย แต่ก็ขอให้ ทุกๆท่านปลอดภัย ของเกมส์การตลาด