นายวิโรจน์ โรจน์วัฒนชัย ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาของสินค้าเหล็กทั้งในประเทศไทยและในกลุ่มประเทศอาเซียน ณ ปัจจุบัน ยังคงได้รับแรงกดดันจากการที่ประเทศจีนมีการส่งออกสินค้าสำเร็จรูปเป็นจำนวนมากในครึ่งแรกของปี 2566 โดยมีปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นถึง 41.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2565 โดยตลาดการส่งออกหลักของจีนอยู่ที่ประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะไทยที่มีอัตราการนำเข้าจากจีนสูงขึ้นถึงกว่า 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2565 สืบเนื่องจากการที่ประเทศจีนมีปริมาณการผลิตเหล็กในประเทศสูงขึ้นเป็น 445ล้านตัน เพิ่มขึ้น 6.1 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2565 แสดงให้เห็นถึงปัญหาของอุปสงค์ภายใน
จากปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาสินค้าเหล็กของประเทศไทย และประเทศในอาเซียนด้วย โดยสมาคมอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศจีน (China Iron and Steel Association : CISA) ได้เปิดเผยข้อมูลดัชนีราคาเหล็กของจีน (China steel price index :CSPI) ประจำเดือนมิถุนายน 2566 อยู่ที่ระดับ 109.19 ซึ่งอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับระดับดัชนีราคาในเดือนเดียวกันของปี 2565 ที่ระดับ 122.52 ทั้งนี้ สถานการณ์ราคาตลาดสินค้าเหล็กยังต้องฝากความหวังไว้กับการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ของครึ่งปีหลัง ที่จะเป็นตัวดูดซับปริมาณเหล็กที่ผลิตออกมา
อย่างไรก็ดีสินค้าเหล็กสำเร็จรูปที่นำเข้าจากประเทศจีนที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดของผู้ผลิตในประเทศ ส่วนใหญ่เกิดจากการหลบเลี่ยงมาตรการทางการค้า (Circumvention) เช่น สินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อน หรือสินค้าเหล็กลวดที่มีการเจืออัลลอย เพื่อหลบเลี่ยงพิกัดศุลกากรที่มีปริมาณนำเข้าในช่วง 5 เดือนแรกปี 2566 เพิ่มขึ้นถึง 286% และ 23.7% ตามลำดับ หรือการนำเหล็กเคลือบประเภทต่าง ๆ มาใช้แทนเหล็กเคลือบที่มีมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) ส่งผลให้เกิดการบั่นทอนประสิทธิภาพการบังคับใช้มาตรการ AD ในปัจจุบัน
สถาบันเหล็กฯ เห็นว่าการใช้ตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการทางการค้า (Anti-Circumvention: AC) มีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับที่ประเทศต่าง ๆ มีการบังคับใช้ เช่น กรณีสหภาพยุโรปมีการใช้มาตรการ AC กับสินค้าเหล็กเคลือบสังกะสีของจีน หรือกรณีที่สหรัฐใช้มาตรการ AC กับสินค้าเคลือบสังกะสีจากเวียดนาม หรือกรณีที่บราซิลใช้มาตรการ AC สินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออัลลอยจากประเทศจีน เป็นต้น
สอดคล้องกับข้อมูลของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ได้รายงานสถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กของไทยว่า ข้อมูลการบริโภคเหล็กของไทย ตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนพฤษภาคม 2566 อยู่ที่ 7.17 ล้านตัน ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีปริมาณ 7.03 ล้านตัน โดยในรอบ 5 เดือนแรกของปีนี้ อุตสาหกรรมภายในประเทศสามารถผลิตเหล็กได้จำนวน 2.81 ล้านตัน ลดลงถึง 14.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนการนำเข้ามีเข้ามามากถึง 4.99 ล้านตัน เพิ่มขึ้นถึง 15.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนปีก่อน
แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสินค้าในประเทศถูกแย่งส่วนแบ่งตลาดจากสินค้านำเข้า ในขณะที่ประเทศไทยมีการส่งออกอยู่ที่ 0.63 ล้านตัน ขยายตัว 9.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเหล็กของผู้ผลิตในประเทศไทยในปีนี้ (5 เดือนแรกของปี) เฉลี่ยที่ 29% ลดลงจาก 33% จากช่วงเดียวกันในปี 2565 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการใช้กำลังการผลิตของประเทศในอาเซียนที่อยู่ในระดับ 52.3%
ทั้งนี้ปัญหาหลักเกิดจากการที่ประเทศไทยยังมีการนำเข้าเหล็กในสัดส่วนที่สูงมากในอัตรา 70% ของการบริโภค และพบว่าการนำเข้าของประเทศไทย มีค่าที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยการนำเข้าของประเทศในอาเซียนที่อยู่ในระดับเพียง 22% เท่านั้น (ที่มาข้อมูลอัตราการผลิตและอัตราการนำเข้าของประเทศอาเซียน : สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าอาเซียน หรือ The South East Asia Iron And Steel Institute (SEAISI))