กรณี "สมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย" ได้ส่งหนังสือ เรื่องขอให้พิจารณาการปรับอัตราขั้นตํ่าของการประกอบการเกษตรพืชยางพารา ตามประกาศกระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทย เรื่องหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรรม (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 31 มกราคม 2566 เรื่องขอทบทวนการคิดอัตราการจ่ายภาษีที่ดินขั้นตํ่า ในส่วนของการปลูกยาง จากอัตราขั้นตํ่า 80 ต้นต่อไร่ เป็น 25 ต้นต่อไร่
เนื่องจากข้อเท็จจริงการปลูกยางโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 65 ต้นต่อไร่ และจนถึงระยะเวลาที่ได้ผลผลิต 7 ปี จะมีต้นยางตายเหลือเพียง 50 ต้นต่อไร่ ขัดกับพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 ที่ได้กำหนดคำจำกัดความคำว่า "สวนยาง" โดยเฉลี่ยต้องปลูกยางไม่น้อยกว่าไร่ละ 25 ต้นเท่านั้น ล่าสุดเรื่องนี้มีความคืบหน้า
นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย และผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ หรือกนย. เผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ได้รับหนังสือจาก นายพงษ์ศักดิ์ กวีนันทชัย ผู้อำนวยการสำนักบริหารการคลังท้องถิ่น ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ตอบกลับมาว่า ก่อนหน้าที่จะประกาศเป็นกฎหมาย ทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ได้เคยจัดให้มีการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ประกอบด้วย กรมส่งเสริมการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเพื่อพิจารณาหารือในเรื่องดังกล่าว เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2565 โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความคิดเห็นในเบื้องต้นว่า การกำหนดจำนวนต้นยางพารา 25 ต้นต่อไร่ ตาม พ.ร.บ.การยางฯ มิได้หมายความว่า เกษตรกรจะต้องเริ่มต้นปลูกยางพาราจำนวน 25 ต้นต่อไร่
โดยระยะปลูกยางพาราที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 3 คูณ 7 เมตร หรือประมาณ 76 ต้นต่อไร่ ซึ่งเป็นระยะปลูกที่กรมวิชาการเกษตรกำหนดไว้เพื่อให้ต้นยางพารามีพื้นที่เหมาะสมในการเจริญเติบโต
โดยการปลูกยางพาราจะไม่มีการตัดสาง หรือตัดขยายระยะเพื่อลดจำนวนต้นเหมือนการปลูกไม้ป่าประกอบกับปัจจุบันประมาณร้อยละ 80-90 ของจำนวนเกษตรกรทั้งหมดมีการปลูกยางพาราในอัตราประมาณ 76 ต้นต่อไร่ ซึ่งเป็นจำนวนต้นยางพาราที่ให้ผลผลิตนํ้ายางลดลง
ทั้งนี้ ตามคู่มือการขึ้นทะเบียนเพื่อปรับปรุงทะเบียนเกษตรกร ปี 2565 ได้กำหนดอัตราแปลงไม้ผลยืนต้นต่อเนื้อที่เพาะปลูก 1 ไร่ ของการปลูกยางพาราไว้ที่ 80 ต้นต่อไร่ ซึ่งเป็นการปัดตัวเลขให้เป็นจำนวนเต็มสิบเพื่อให้ง่ายต่อการรับรู้ของเกษตรกร และเป็นจำนวนเฉลี่ยของการปลูกยางพาราแต่ละสายพันธุ์
รวมทั้งมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า อัตราขั้นตํ่าของการประกอบการเกษตรต่อไร่ของพืชชนิดอื่นในบัญชีแนบท้าย ก ของประกาศฯ อ้างอิงมาจากอัตราแปลงไม้ผลไม้ยืนต้นต่อเนื้อที่เพาะปลูก 1 ไร่ ตามคู่มือการขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียนเกษตรกร ปี 2565 โดยไม่ได้มีการพิจารณาหักอัตราการตายของพืชชนิดนั้นออก
ดังนั้น หากมีการกำหนดอัตราขั้นตํ่าของการประกอบการเกษตรต่อไร่ของการปลูกพืชยางพาราโดยหักด้วยอัตราการตายของต้นยางพาราอาจเกิดความลักลั่นกับพืชชนิดอื่น ซึ่งจากผลการประชุมหารือในเรื่องดังกล่าว จึงได้ข้อสรุปว่า ให้คงอัตราขั้นตํ่าของการประกอบการเกษตรต่อไร่ของการปลูกยางพารา จำนวน 80 ต้นต่อไร่ ดังปรากฏตามประกาศกระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทย
"พอเห็นหนังสือตอบกลับ แล้วก็ตกใจ เพราะตอนนี้เกษตรกรยางพาราทั้งประเทศพื้นที่กว่า 21 ล้านไร่ ยังไม่รู้เรื่องเลย ส่วนเจ้าของที่ดินก็ต้องหักกับผู้เช่าที่เป็นเกษตรกร ซึ่งจะเริ่มเก็บภาษีสิ้นปีนี้แล้ว เกษตรกรไม่เคยเสียภาษี ครั้งนี้แหละจะโดนแล้ว และในอัตราที่สูงด้วย เพราะไม่จัดว่า เป็นพื้นที่เกษตรกรรม แล้วหากโดน เชื่อว่าจะทำให้เกิดม็อบชุมนุมยืดเยื้อแน่นอนหลังจากที่โดนเก็บภาษีแล้ว เหมือนมาซํ้าเติมกันในช่วงราคายางตกตํ่า"
นายอุทัย กล่าวอีกว่า จากเงินคงคลังของรัฐบาลมีน้อย อาจเป็นแรงกระตุ้นให้เก็บภาษีจากเกษตรกร อย่างไรก็ดี จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้การเก็บภาษีสวนยางอยู่ที่ 25 ต้นต่อไร่ ซึ่งถือเป็นภาษีเกษตรกรรมแต่ระเบียบที่ออกมา ไปขัดกับพ.ร.บ.การยางฯ ดังนั้นจะไม่ยอมเด็ดขาด
ทั้งนี้ จะไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางเพื่อให้พิจารณาตัดสินว่า ระเบียบของกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง ขัดต่อ พ.ร.บ.การยางฯ หรือไม่ และจะขอให้ชะลอเรื่องเอาไว้ชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำตัดสินออกมา
อนึ่ง กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยได้ออกประกาศเรื่องหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ที่ดินในการประกอบเกษตรกรรม ซึ่งในบัญชีแนบท้ายประกาศ กำหนดชนิดพืช "ยางพารา" มีอัตราขั้นตํ่าของการประกอบการเกษตรต่อไร่ไว้ 80 ต้นต่อไร่ จะเสียภาษีในอัตราไม่เกินร้อยละ 0.15 ของฐานภาษี (อัตราตํ่าสุด)
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,913 วันที่ 13-16 สิงหาคม พ.ศ. 2566
อ้างอิง :
พระราชบัญญัติ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ.2562
พระราชกฤษฎีกา กำหนดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ.2564