คาร์บอนฟุตพริ้นท์มิชชั่น กดดันไทยต้องสร้าง “คาร์บอนเครดิต” ภาคเกษตร

19 ส.ค. 2566 | 11:57 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ส.ค. 2566 | 14:39 น.

โจทย์ใหม่ “คาร์บอนฟุตพริ้นท์” ผู้ประกอบการไทยเตรียมรับแรงกระแทก ภาษีคาร์บอนยุโรป "CBAM"คาดกระทบความสามารถทางการแข่งขัน แนะขยายขอบเขตคาร์บอนฟุตพริ้นท์ลงลึกถึงภาคเกษตร หนุนภารกิจ Net Zero Emissions

นายเจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด เปิดเผยผ่านเวทีเสวนา “ความมั่นคงทางอาหารภายใต้ปรากฎการณ์ El Niño  และโอกาสการค้าตลาดคาร์บอนเครดิตในการผลิตพืชของไทย” ว่า ปัจจุบัน “คาร์บอนเครดิต” ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องของกลยุทธ์ และเริ่มกระทบกับบริษัทเอกชนหลายบริษัท ดังนั้นวันนี้ คาร์บอนเครดิต จึงไม่ใช้แค่ทางเลือกแต่เป็นทางรอดเนื่องจาก supply chain ของภาคเอกชนมีความเชื่อมโยงกันทั้งหมด

ความมั่นคงทางอาหารภายใต้ปรากฎการณ์ El Niño  และโอกาสการค้าตลาดคาร์บอนเครดิตในการผลิตพืชของไทย “สาเหตุที่คาร์บอนเครดิตเป็นที่ต้องการของภาคเอกชนเกิดจากแรงกดดัน หลายคนเริ่มเห็นแล้วว่าคาร์บอนเครดิตขายดี มีคนรับซื้อตลอดแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องรับซื้อ วันนี้ประเทศไทยอยู่ในภาคสมัครใจเพราะไม่ได้ถูกบังคับ ไม่มีการปรับ แต่ได้รับความกดดันจากต่างประเทศทั้งในภูมิภาคและในประเทศไทยเองส่งผลให้เอกชนต้องมีการลดฟุตพริ้นท์ขององค์กร 

ในระดับโลกประเทศไทยได้คอมมิทเมนต์ใน "COP26 "  เรียบร้อยแล้วว่าภายในปี 2050 เราจะเป็นกลางทางคาร์บอน และเป็น Net Zero Emissions ในปี 2065 ซึ่งนอกจากภาครัฐแล้วการลดก๊าซเรือนกระจกส่วนใหญ่มาจากภาคเอกชน ดังนั้นถ้าภาคประชาชนไม่สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ก็จะทำให้ประเทศไทยไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้”


อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่กังวลอย่ามากคือ “ภาษีคาร์บอน” ซึ่งในปีนี้ยุโรปได้คลอดภาษีคาร์บอน CBAM ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วและจะมีผล 1 ตุลาคมคมนี้ ซึ่งจะมีเวลาให้ผู้ประกอบการไทยเตรียมตัว 3 ปี โดยในระยะ 3 ปีนี้สินค้าที่จะส่งเข้ายุโรปต้องมีการรายงานฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์นั้นๆเพื่อนำไปหาค่าเฉลี่ยและหลังจาก 3 ปีจะมีการบังคับใช้เต็มรูปแบบ นั่นหมายความว่าถ้าผลิตภัณฑ์ที่ออกไปมีปริมาณฟุตพริ้นท์เกินมาตรฐานที่กำหนดไว้จะโดนปรับในราคาคาร์บอนเครดิต ณ ปลายทางซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ราวๆ 3,000 กว่าบาท

“คาร์บอนเครดิตและฟุตพริ้นท์ ไม่ใช่แค่เรื่องของการรักษ์โลกแต่เป็นความสามารถในการแข่งขันเมื่อส่งออกสินค้าไปเจอ “ภาษีคาร์บอน” อาจทำให้ราคาสินค้าของเราสูงกว่าคู่แข่งอื่นๆ  อีกส่วนหนึ่งคือเรื่องของ supply chain ในวันนี้ประเทศไทยไม่บังคับให้ทางภาคเอกชนต้องเปิดเผย ฟุตพริ้นท์ หรือสโคป 3 ขณะที่ต่างประเทศบังคับใช้เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นหมายความว่าสิ่งที่ผู้ประกอบการและองค์กรไทยกำลังเจอคือบริษัทชั้นนำของโลกเริ่มกดดันและตั้งคำถามว่าปริมาณฟุตพริ้นท์ในผลิตภัณฑ์ที่ส่งมามีปริมาณเท่าไหร่

 

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการเข้าถึงแหล่งเงินทุนซึ่งในอนาคต ฟุตพริ้นท์ จะถูกนำเป็นเกณฑ์ในการพิจราณาปล่อยสินเชื่อ ขณะที่แบงค์ชาติเองมีประกาศเรื่องของ Green Taxes   economy ออกมาเรียบร้อยแล้วนั่นแปลว่าถ้าบริษัทไม่มีการปรับตัวภายในปี 2040 การเข้าถึงสินเชื่อของธนาคารก็จะลดลงเรื่อยๆ 

 

อีกส่วนหนึ่งที่น่าสนใจ คือในยุโรปการซื้อขายคาร์บอนเครดิตครอบคลุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของยุโรปประมาณ 36%  แต่ในไทยยังไม่ถึง 0.3% จึงมีโอกาสที่จะโตมากกว่านี้ ซึ่งคาร์บอนเครดิตราคาจะไม่เหมือนกันในแต่ละประเภท nature based คือจากการปลูกต้นไม้หรือภาคการเกษตรตรงนี้เป็นที่นิยมและเป็นที่ต้องการ ดังนั้นก็เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเกษตรยั่งยืน

 

“ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในไทยมากที่สุดอันดับแรกคือภาคพลังงาน อันดับ 2 คือภาคเกษตร ดังนั้นเราไม่สามารถที่จะตัด SME หรือเกษตรกรออกจาก supply chain ได้และใน SET 100 มีบริษัทมากถึง 50% ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเกษตร และอัตราการจ้างงานประมาณ 30% อยู่ในภาคการเกษตร ดังนั้นถ้าเราสามารถนำ GAP (Good Agriculture Practices ) มาพัฒนาเกษตรกรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และนำไปimplement เกษตรกรจะสามารถมีรายได้เสริมจากการขายคาร์บอนเครดิต หรือขายผลผลิตในราคาที่สูงขึ้นได้และสุดท้ายเกษตรกรจะช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ลงได้W