นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยข้อมูลการส่งออกของรายการสินค้า 50 อันดับแรกของไทยที่มีสัดส่วน 89.5% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด คิดเป็นมูลค่า 257,198 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ข้อมูลการส่งออกไปยังรายสัญชาติ และขนาดของธุรกิจ (S M L) ประกอบด้วยธุรกิจ 3 ประเภทสำคัญ ได้แก่ ธุรกิจส่งออกที่มีคนไทยถือหุ้น 100% ธุรกิจส่งออกที่เป็นธุรกิจร่วมทุนไทย-ต่างชาติ และธุรกิจส่งออกที่มีชาวต่างชาติถือหุ้น 100%
โดยข้อมูลในปี 2565 ที่ผ่านมา พบว่า 41.7% ของมูลค่าการส่งออกของรายการสินค้า 50 อันดับแรก เป็นการส่งออกของธุรกิจที่มีชาวต่างชาติถือหุ้น 100% และเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนมากที่สุด หรือมีมูลค่า 107,369 ล้านเหรียญสหรัฐ
รองลงมาเป็นการส่งออกของธุรกิจร่วมทุนที่มีสัดส่วน 33.2% หรือมีมูลค่า 85,307 ล้านเหรียญสหรัฐ และการส่งออกของธุรกิจที่มีคนไทยถือหุ้น 100% ที่มีสัดส่วน 24.8% หรือมีมูลค่า 63,839 ล้านเหรียญสหรัฐ
รวมทั้งข้อมูลเจาะลึกการส่งออกของธุรกิจคนไทย หากมาเจาะลึกที่การส่งออกของธุรกิจคนไทย ซึ่งในทีนี้หมายรวมทั้งธุรกิจที่มีคนไทยถือหุ้น 100% และธุรกิจร่วมทุนที่มีคนไทยถือหุ้นข้างมาก (ตั้งแต่ 51% ขึ้นไป) พบว่า การส่งออกในรายการสินค้า 50 อันดับแรกที่เป็นธุรกิจของคนไทย
ส่วนใหญ่ยังขับเคลื่อนโดยกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ โดยธุรกิจ SMEs ของไทยยังมีส่วนร่วมในการสร้างรายได้ให้แก่ภาคการส่งออกเพียง 24% ของมูลค่าการส่งออกโดยธุรกิจของคนไทย และคิดเป็นสัดส่วนเพียง 10% เท่านั้น ของมูลค่าการส่งออก
โดยธุรกิจทุกสัญชาติ ถือว่ายังต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ต้องการผลักดันให้ธุรกิจ SMEs มีส่วนร่วมในการส่งออกไม่น้อยกว่า 20% ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งประเทศ ดังนั้น จึงต้องผลักดันมูลค่าการส่งออกของธุรกิจ SMEs ให้ขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 5.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จากปัจจุบันที่มีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
สนค. เห็นว่าธุรกิจใน ภาคเหนือ แลเภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นภาคที่มีความสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายในการเพิ่มมูลค่าการส่งออก เนื่องจากเป็นภาคที่มีจำนวนผู้ส่งออกที่เป็นธุรกิจ SMEs มาก แต่กลับสร้างรายได้ให้แก่ภาคการส่งออกค่อนข้างน้อย
ทั้งนี้ภาครัฐควรสนับสนุนนโยบาย และงบประมาณที่เป็นการเพิ่มศักยภาพด้านการผลิต การค้าระหว่างประเทศให้แก่ธุรกิจ SMEs ไทยในพื้นที่ดังกล่าว
รวมถึงเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำเงินไปลงทุนไปพัฒนาธุรกิจ และสามารถได้รับสิทธิประโยชน์จากมาตรการส่งเสริมการลงทุนของ BOI ที่มีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของพื้นที่ในภาคต่างๆ
โดยเฉพาะพื้นที่ที่ประเทศประกาศเป็นระเบียงเศรษฐกิจภาค ขณะเดียวกันให้เพิ่มจำนวนผู้ประกอบการส่งออกให้มากขึ้นในภาคกลางและภาคตะวันออก เนื่องจากยังมีจำนวนธุรกิจส่งออกน้อย
ทั้งนี้ข้อมูล คิดค้า.com ของ สนค. พบว่า มีธุรกิจส่งออกของคนไทยในภาคเหนือจำนวน 1,359 ราย และเป็นธุรกิจ SMEs จำนวน 1,261 ราย มากเป็นอันดับ 2 เป็นรองเพียงกรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น โดยจังหวัดที่มีผู้ส่งออกธุรกิจ SMEs มากเป็น 5 อันดับแรก ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ตาก ลำพูน และลำปาง ตามลำดับ และมีกลุ่มสินค้าส่งออกสำคัญ เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ เครื่องนุ่งห่มผลิตภัณฑ์ยาง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ข้าว และเครื่องดื่ม
ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวนธุรกิจส่งออกของคนไทยจำนวน 787 ราย และมีธุรกิจ SMEs จำนวน 710 รายโดยจังหวัดที่มีผู้ส่งออกธุรกิจ SMEs มากเป็น 5 อันดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา อุบลราชธานี ขอนแก่น หนองคาย และสุรินทร์ ตามลำดับ และมีสินค้าส่งออกสำคัญ เช่น ข้าว ผลไม้กระป๋องและแปรรูป เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง สบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว และผ้าผืน
พร้อมกันนี้จะเสนอให้ผลักดันผู้ประกอบการสินค้า OTOP ระดับ 4 ดาวขึ้นไป ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้ามีคุณภาพ และมาตรฐานที่สามารถนำไปขายต่อยอดในตลาดต่างประเทศได้ โดยในปัจจุบันมีผู้ประกอบการสินค้า OTOP ระดับ 4 ดาว ขึ้นไปอยู่จำนวน 9,925 ราย ขณะเดียวกัน ผลักดันการใช้ตรา Thailand Trust Mark (T-Mark) ของกระทรวงพาณิชย์
โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ให้เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยทำให้สินค้าไทยเป็นที่รู้จักในตลาดและเป็นที่ไว้วางใจของผู้บริโภคในต่างประเทศมากขึ้น โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรบูรณาการทำงานร่วมกันเพื่อผลักดันการส่งออก
สำหรับธุรกิจของชาวต่างชาติยังมีความสำคัญค่อนข้างมากต่อการเพิ่มรายได้การส่งออก โดยญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาเกาหลีใต้ เป็นประเทศผู้ลงทุนหลัก และเป็นผู้ส่งออกสำคัญของสินค้า 50 อันดับแรก โดยมีจีนที่เริ่มเข้ามาลงทุนและผลิตสินค้าส่งออกเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ภายใต้รายการสินค้าดังกล่าว มีจำนวน 4 สินค้าที่ส่งออกโดยธุรกิจของชาวต่างชาติในสัดส่วนที่สูง ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด และเครื่องซักผ้า เครื่องซักแห้งและส่วนประกอบ กล่าวคือ เกินกว่า 90% ของมูลค่าการส่งออกของ แต่ละสินค้าเป็นการส่งออกของประเภทธุรกิจที่มีชาวต่างชาติถือหุ้น 100% หรือธุรกิจร่วมทุนที่ชาวต่างชาติถือหุ้นข้างมาก
"กระทรวงพาณิชย์ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของกลุ่มธุรกิจคนไทย โดยเฉพาะ SMEs ที่เป็นคนตัวเล็กให้สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เศรษฐกิจไทยได้มากขึ้น ขณะเดียวกัน สนค. ยังเห็นความสำคัญของบทบาทธุรกิจชาวต่างชาติที่ช่วยหนุนการส่งออกและยกระดับประเทศให้ผลิตสินค้าที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่เร่งเชิญชวนนักลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งเราเองคงต้องเร่งพัฒนาด้านทรัพยากรมนุษย์ให้พร้อมต่อการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากปัจจัยด้านทรัพยากรมนุษย์จะมีบทบาทสำคัญต่อการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง" นายพูนพงษ์กล่าว