แหล่งข่าวจากโรงงานน้ำตาล เปิดเผยว่า ขณะนี้หลายโรงงานได้มีการปรับราคาน้ำตาลทรายไปแล้วราว 4-5 บาท/กิโลกรัม (กก.) เนื่องจากปัจจุบันราคาน้ำตาลทรายขาวตลาดโลกบวกพรีเมียมคิดกลับเป็นเงินไทยที่อ่อนค่าราคาขยับไปสู่ระดับ 27-28 บาท/กก.
ทั้งนี้ รัฐโดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย(สอน.) ควรจะต้องประกาศราคาน้ำตาลหน้าโรงงานตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจริงเพื่อนำมาคำนวณราคาอ้อยข้ันต้นฤดูการผลิตปี 2566/67 ภายในพ.ย.นี้เพื่อให้ประโยชน์นั้นได้ตกกับชาวไร่อ้อยในการได้รับราคาน้ำตาลที่สูงขึ้นจากปริมาณน้ำตาลทรายจำหน่ายในประเทศที่จะมาคำนวณราคาขั้นต้น 25 ล้านกระสอบ
"ราคาน้ำตาลทรายขณะนี้ไม่ได้เป็นสินค้าควบคุมอะไร ที่ผ่านมาโรงงานก็พยายามรักษาระดับราคาไม่ให้สูงแต่หากรัฐยังยื้อที่จะประกาศผลเสียจะตกกับชาวไร่อ้อยที่จะได้คำนวณออกมาในราคาอ้อยที่สูงขึ้น และหากโรงงานไม่ขึ้นน้ำตาลก็อาจจะไหลออกนอกประเทศหมดได้"
รายงานข่าวแจ้งว่า ล่าสุดผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย(สอน.)ได้หารือกับฝ่ายโรงงานน้ำตาลทรายและชาวไร่อ้อยในการพิจารณาแนวทางการสนับสนุนการตัดอ้อยสดเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 ที่ชาวไร่ต้องการวงเงินสนับสนุน 120 บาท/ตันหรือคิดเป็นเงินงบประมาณราว 8,000 ล้านบาทที่รัฐยังคงค้างจ่ายปีการผลิต 2565/66 และความชัดเจนถึงการสนับสนุนในปีการผลิต 2566/67 ที่กำลังจะเปิดหีบสิ้นปีนี้
โดยการหารือมีการหยิบยกแนวทางการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานเพิ่มขึ้นอีกกิโลกรัมละ 4 บาทตามต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงเนื่องจากราคาน้ำตาลทรายตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นรวมถึงเกณฑ์การช่วยเหลือการตัดอ้อยสดเพื่อลดอ้อยไฟไหม้ ที่ยังไม่มีข้อสรุปและมีการต่อรองในเรื่องของการปรับขึ้นราคาน้ำตาลแล้วอาจไม่จำเป็นต้องขอเงินสนับสนุน 120 บาท/ตันแต่ทางชาวไร่และโรงงานต่างเห็นว่าเป็นคนละเรื่อง
สำหรับมติกอน.ก่อนหน้าการปรับราคาขึ้นจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือสะท้อนไปยังราคาหน้าโรงงานจริงกก.ละ 2 บาท และการเก็บเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย กก.ละ 2 บาท เพื่อนำไปจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ปลูกอ้อยที่ตัดอ้อยสดส่งเข้าโรงงานน้ำตาลตามนโยบายลดฝุ่นPM 2.5 จากปัจจุบันราคาหน้าโรงงาน ได้แก่
ขณะที่ราคาขายปลีกในท้องตลาด ประกอบด้วย
การปรับราคาดังกล่าว จะมีผลให้ราคาหน้าโรงงาน น้ำตาลทรายขาวธรรมดาปรับขึ้นเป็น กก.ละ 23 บาท น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ปรับขึ้นเป็น กก.ละ 24 บาท
ขณะที่ราคาขายปลีกจะปรับขึ้นไปเป็น กก.ละ 28 บาท และ กก.ละ 29 บาทตามลำดับ หลังจากที่ราคาหน้าโรงงานเพิ่งปรับเพิ่มขึ้น กก.ละ 1.75 บาท เป็น กก.ละ 19 บาท และ กก.ละ 20 บาท เมื่อเดือนมกราคม 66
นายปารเมศ โพธารากุล ประธานสหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทยกล่าวว่า การปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายดังกล่าวเป็นไปตามข้อเสนอที่ชาวไร่ผลักดันไปก่อนหน้านั้นและคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย(กอน.)เมื่อ28 ก.ย.ก็เห็นชอบโดยปัจจัยหลักมาจากราคาตลาดโลกปรับขึ้นสูง
แต่เรื่องดังกล่าวได้เงียบไปดังนั้นจึงไม่ได้เกี่ยวกับว่าหากขึ้นราคาแล้วจะต้องไม่ได้รับเงิน 120บาท/ตันแต่อย่างใด โดยหากรัฐบาลจะพิจารณาออกมาเช่นนั้นชาวไร่ก็พร้อมจะปฏิบัติตามแต่ขอเพียงให้รัฐมีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าวโดยเร็วก่อนที่จะมีการเปิดหีบปี2566/67 ในช่วงธ.ค.นี้
“การตัดอ้อยสดนั้นชาวไร่ยืนยันว่าเป็นนโยบายรัฐบาลที่ทำให้ชาวไร่อ้อยมีต้นทุนเพิ่มขึ้นมากรัฐที่ผ่านมาจึงได้สนับสนุนเงินมาช่วยเหลือ120 บาท/ตันแต่หากไม่ชัดเจนในเรื่องดังกล่าวก็จะซ้ำรอยเดิมเช่นปีที่ผ่านมาที่จนขณะนี้ก็ไม่ได้รับเงินสนับสนุนทำให้อ้อยไฟไหม้มีปริมาณที่เพิ่มขึ้นและการหารือล่าสุดชาวไร่อ้อยยืนยันว่ายังคงใช้หลักเกณฑ์เดิมคือการส่งอ้อยไฟไหม้จะถูกหักเงินเข้ากองทุนตันละ 30 บาทเท่านั้นไม่รับข้อเสนอรัฐที่ต้องการหักถึง 90 บาทที่สูงเกินไป เหมือนเป็นผู้ร้ายทั้งที่รถยนต์ปล่อยมลพิษมากกว่าเยอะ”
อย่างไรก็ดี ได้มีการสำรวจราคาน้ำตาลทรายในท้องตลาดขณะนี้ ราคาอยู่ที่กก.ละ 26 -29 บาท ขึ้นอยู่แต่ละชนิด ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ต่อไปว่า หากสอน.ประกาศขึ้นราคาครั้งใหม่ จะยิ่งส่งผลให้ราคาน้ำตาลในประเทศปรับขึ้นเกินกว่ากก.ละ 30 บาทหรือไม่ หรือเป็นเพียงการปรับขึ้น เพื่อการคำนวณให้ชาวไร่อ้อยเพิ่มเติมเท่านั้น ต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป เพราะหากราคาน้ำตาลทรายปรับขึ้นอีก ย่อมส่งผลให้ราคาสินค้าอื่นๆ ที่ใช้น้ำตาลทรายเป็นส่วนประกอบ ต้องปรับขึ้นราคาตาม โดยเฉพาะเครื่องดื่มชนิดต่างๆ ทั้งน้ำอัดลม น้ำผลไม้ เครื่องดื่มชูกำลัง นมและผลิตภัณฑ์ รวมถึงขนม เบเกอร์รี่ อาหาร จะยิ่งทำให้ภาระค่าครองชีพของคนปรับตัวสูงขึ้นอีก ขณะที่รัฐบาลพยายามลดค่าครองชีพ ลดรายจ่ายประชาชนในทุกด้าน