ซีพีเอฟ Q3 ยอดขาย 1.44 แสนล้าน ต้นทุนพุ่ง-ราคาหมูตกต่ำ กระทบผลดำเนินงาน

13 พ.ย. 2566 | 10:54 น.
อัปเดตล่าสุด :13 พ.ย. 2566 | 11:09 น.

ซีพีเอฟเผยไตรมาส 3/2566 ทำยอดขาย144,498 ล้านบาท แต่ยังขาดทุน ระบุต้นทุนการผลิตสูงทั้งวัตถุดิบอาหารสัตว์ ราคาพลังงาน หมูลักลอบนำเข้าทำราคาในประเทศตกต่ำ กระทบผลการดำเนินงาน

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2566   มีรายได้จากการขาย 144,498 ล้านบาท เป็นส่วนของกิจการต่างประเทศร้อยละ 62 และกิจการประเทศไทยร้อยละ 38  มีผลขาดทุนสุทธิในส่วนของบริษัท  1,837 ล้านบาท เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าปีที่แล้ว

ทั้งนี้จากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นทั้งราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตอาหารสัตว์และราคาพลังงาน ประกอบกับราคาสุกรในหลายประเทศอยู่ในระดับต่ำกว่าปีก่อน  โดยเฉพาะในประเทศไทย  เวียดนาม และกัมพูชา ราคาเฉลี่ยลดลงร้อยละ 26 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณเนื้อสุกรมีมากกว่าความต้องการบริโภค โดยในประเทศไทยได้รับผลกระทบจากปริมาณการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรจากต่างประเทศ (ผิดกฎหมาย) จำนวนมากด้วย 

ซีพีเอฟ Q3 ยอดขาย 1.44 แสนล้าน ต้นทุนพุ่ง-ราคาหมูตกต่ำ กระทบผลดำเนินงาน

นอกจากนี้ ธุรกิจสุกรของบริษัทร่วมในประเทศจีน ประสบปัญหาราคาตกต่ำเช่นกัน  จากภาวะสินค้าล้นตลาดในขณะที่ความต้องการบริโภคยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ   

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร  ซีพีเอฟ กล่าวถึงผลการดำเนินงานว่า ปีนี้เป็นปีที่ภาวะเศรษฐกิจมีความท้าทายจากหลายปัจจัย ทั้งภาวะเศรษฐกิจในหลายประเทศที่ไม่เป็นไปตามคาด กำลังซื้อถดถอย ต้นทุนต่าง ๆ ปรับตัวสูงขึ้น เช่น อัตราดอกเบี้ย และ ราคาวัตถุดิบทางการเกษตรที่สูงขึ้นจากความขัดแย้งทางการเมือง ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทไม่เป็นไปตามเป้าหมาย 

บริษัทฯ มีนโยบายในการลงทุนและใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง  ติดตามการดำเนินงานและสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งปรับแผนการลงทุน เช่น การพิจารณาการใช้ทรัพย์สินในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดหรือหยุดดำเนินกิจการที่มีแนวโน้มเปลี่ยนไปจากที่เคยคาดการณ์ไว้  ซึ่งคาดว่าจะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทดีขึ้นตั้งแต่ในไตรมาสที่ 4 เป็นต้นไป  

ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ  

สำหรับปี 2567 บริษัทมองว่าความท้าทายและความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและภูมิสังคมน่าจะยังคงมีอยู่  โดยยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและให้ความสำคัญในการบริหารค่าใช้จ่ายภายใน รวมถึงการลงทุนอย่างรอบคอบและระมัดระวัง เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันโดยเน้นการดำเนินงานที่มีการใช้สินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ ดำเนินงานด้านการตลาดและการขายด้วยนวัตกรรมสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะดีขึ้นเป็นลำดับ